Key Takeaway
ในปัจจุบัน นอกจากยื่นเรซูเม่แล้ว แทบจะทุกสายงานจำเป็นต้องใช้วุฒิการศึกษาเพื่อที่สามารถเข้าไปทำงานได้ และเพื่อเป็นหลักฐานว่าเรามีประสบการณ์ในการเรียนด้านนั้นๆ จริงๆ แต่วุฒิการศึกษาจะมีกี่ระดับ สำคัญต่อการสมัครงานมากน้อยแค่ไหน แล้ววุฒิการศึกษากับ Transcript ต่างกันอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ!
วุฒิการศึกษาเป็นเอกสารสำคัญที่ออกโดยสถาบันการศึกษา เพื่อรับรองว่าบุคคลนั้นได้สำเร็จการศึกษาในระดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อนุปริญญา ปริญญาตรี ปริญญาโท หรือปริญญาเอก
เอกสารนี้มีความสำคัญในการใช้เป็นหลักฐานประกอบการสมัครงาน การศึกษาต่อ หรือการขอรับรองวิชาชีพต่างๆ โดยมีหลายรูปแบบ เช่น ประกาศนียบัตรมัธยมศึกษา (High School Diploma) หรือปริญญาบัตรในระดับอุดมศึกษา (Degree Certificate) ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันคุณวุฒิ และความรู้ความสามารถของผู้สำเร็จการศึกษานั่นเอง
ระบบวุฒิการศึกษาในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงปฏิรูประบบการศึกษาให้ทันสมัยแบบตะวันตก จากเดิมที่การศึกษาจำกัดอยู่แค่ในวัดและวัง มาสู่การจัดตั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างเป็นระบบ
ในอดีตวุฒิการศึกษามีเพียงไม่กี่ระดับและจำกัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงเท่านั้น แต่ปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นให้ครอบคลุมทุกระดับ ตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงปริญญาเอก และเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกระดับสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาหลักสูตรที่หลากหลาย รวมถึงการเทียบโอนวุฒิการศึกษาระหว่างประเทศ เพื่อรองรับการศึกษาและการทำงานในยุคโลกาภิวัตน์มากยิ่งขึ้น
เรามาทำความเข้าใจประเภทของวุฒิการศึกษาในระดับต่างๆ กันก่อนดีกว่า
การศึกษาขั้นพื้นฐานจะรวมระยะเวลาการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งหมด 12 ปี ดังนี้
วุฒิการศึกษา และ Transcript มีความแตกต่างกันในด้านรายละเอียดและการใช้งาน โดยวุฒิการศึกษาเป็นเอกสารที่รับรองการสำเร็จการศึกษา แสดงเพียงชื่อหลักสูตร ระดับการศึกษา และวันที่สำเร็จการศึกษา ส่วน Transcript หรือใบแสดงผลการเรียน จะมีรายละเอียดมากกว่า โดยแสดงรายวิชาที่เรียนทั้งหมด เกรดในแต่ละวิชา เกรดเฉลี่ยรวม และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาตลอดหลักสูตร
เอกสารทั้งสองนี้มักใช้ควบคู่กันในการสมัครงานหรือศึกษาต่อ เพื่อให้ผู้รับสามารถประเมินทั้งระดับการศึกษาและความสามารถทางวิชาการของผู้สมัครได้ละเอียดมากขึ้น
วุฒิการศึกษาและใบเทียบวุฒิการศึกษาต่างกันในด้านผู้ออกเอกสารและวัตถุประสงค์ โดยวุฒิการศึกษาเป็นเอกสารที่ออกโดยสถาบันการศึกษาเพื่อรับรองการสำเร็จการศึกษาในระดับนั้นๆ
ส่วนใบเทียบวุฒิการศึกษาเป็นเอกสารที่ออกโดยหน่วยงานที่มีอำนาจในการรับรองและเทียบเคียงวุฒิจากต่างประเทศ หรือวุฒิที่ไม่ตรงตามมาตรฐานของประเทศ ให้เทียบเท่ากับระดับการศึกษาในระบบการศึกษาในประเทศ เพื่อประโยชน์ในการศึกษาต่อหรือการประกอบอาชีพ
ในสังคมปัจจุบัน วุฒิการศึกษามีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาอาชีพและโอกาสในชีวิต โดยเป็นเกณฑ์คัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นสำหรับการสมัครงาน กำหนดเงินเดือน และความก้าวหน้าในอาชีพ นอกจากนี้ยังเป็นใบเบิกทางสำหรับการศึกษาต่อ การขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหรือการทำงานในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในยุคดิจิทัลที่เน้นทักษะและประสบการณ์มากขึ้น วุฒิการศึกษาจึงเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งในการพัฒนาตัวเอง ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต และการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการทำงาน
ระบบวุฒิการศึกษา หรือระบบการศึกษาในปัจจุบัน มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เห็นได้ชัดเจน ดังนี้
ระบบวุฒิการศึกษามีข้อดีหลายอย่างที่ส่งผลต่อการพัฒนา ทั้งระดับบุคคลและสังคม โดยเป็นมาตรฐานในการวัดและรับรองความรู้ความสามารถของผู้สำเร็จการศึกษา ช่วยให้องค์กรและสถาบันต่างๆ สามารถคัดกรองและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมตามคุณสมบัติ
นอกจากนี้ยังเป็นแรงจูงใจให้บุคคลพัฒนาตัวเองผ่านการศึกษาสู่ระดับที่สูงขึ้น เปิดโอกาสในการประกอบอาชีพที่หลากหลาย สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสต่างๆ ในสังคม และยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศอย่างเป็นระบบอีกด้วย
ระบบวุฒิการศึกษามีข้อจำกัดและข้อเสีย ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมหลายอย่าง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับวุฒิการศึกษามากเกินไปจนละเลยความสามารถและประสบการณ์จริง ทำให้เกิดค่านิยมการเรียนเพื่อวุฒิมากกว่าการเรียนเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะ
นอกจากนี้ยังสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคม เนื่องจากโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาระดับสูงไม่เท่าเทียมกัน ส่งผลให้ผู้ที่มีความสามารถแต่ขาดโอกาสทางการศึกษาเสียเปรียบในการประกอบอาชีพ อีกทั้งระบบวุฒิการศึกษายังไม่อาจสะท้อนความรู้ความสามารถที่แท้จริงได้ เพราะบางครั้งการได้วุฒิมาอาจไม่ได้หมายถึงการมีทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานจริงเสมอไป
เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยขึ้นในยุคดิจิทัลได้เปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาและระบบวุฒิการศึกษาอย่างชัดเจน โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถ Upskill และเข้าถึงความรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนแบบเดิม ซึ่งก่อให้เกิดรูปแบบการเรียนรู้ใหม่ๆ ดังนี้
แนวโน้มในอนาคต ระบบวุฒิการศึกษาจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยอาจมีการยอมรับประกาศนียบัตรจากการเรียนออนไลน์ การสะสมหน่วยกิตจากหลายแหล่ง รวมถึงการให้ความสำคัญกับทักษะและความสามารถจริงมากกว่าวุฒิการศึกษาแบบเดิม อีกทั้งยังอาจเกิดรูปแบบการรับรองคุณวุฒิแบบใหม่ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัลได้ดียิ่งขึ้น
ทักษะและประสบการณ์จริง สะท้อนความสามารถในการทำงานได้ดีกว่าวุฒิการศึกษา หลายองค์กรจึงให้ความสำคัญกับ ‘ทักษะที่จำเป็น’ (Essential Skills) เช่น การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร มากกว่าวุฒิการศึกษา โดยประสบการณ์ทำงานจริงจะช่วยพัฒนาทักษะที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ในห้องเรียน
ซึ่งการรับรองทักษะ และความสามารถรูปแบบอื่นมีหลายรูปแบบ ดังนี้
ซึ่งในปัจจุบัน ก็มีหลายองค์กรที่มีแนวคิดการจ้างงานโดยไม่พิจารณาวุฒิการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำหลายแห่ง เช่น Google และ Apple ซึ่งไม่กำหนดวุฒิการศึกษาขั้นต่ำ แต่จะเน้นการทดสอบทักษะและความสามารถจริงในการคัดเลือก พิจารณาจากประสบการณ์ทำงาน ผลงาน และการทดสอบความสามารถ เพื่อให้โอกาสผู้ที่มีความสามารถแต่ขาดโอกาสทางการศึกษานั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีทางเลือกอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการศึกษาในระบบอีกด้วย ดังนี้
วุฒิการศึกษามีความสำคัญในชีวิตการทำงาน เพราะเป็นเกณฑ์ในการรับสมัครงาน กำหนดเงินเดือน และพิจารณาเลื่อนตำแหน่งในราชการ ทั้งนี้ยังสร้างโอกาสในการพัฒนาสายอาชีพอีกด้วย ในสังคมไทย วุฒิการศึกษายังคงสำคัญในระบบราชการและองค์กรใหญ่
แต่ในภาคเอกชนและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเริ่มให้ความสำคัญกับทักษะและประสบการณ์มากขึ้น การมีวุฒิการศึกษาและทักษะควบคู่กันจะทำให้มีความได้เปรียบในตลาดแรงงาน และมีโอกาสประสบความสำเร็จในอาชีพมากขึ้น
หากพร้อมทำงาน มาฝากประวัติกับ Jobsdb เลย ที่นี่ช่วยให้การสมัครงานราบรื่น ด้วยฟีเจอร์ใช้งานนง่าย หางานตามทำเลและตำแหน่งที่ต้องการ พร้อมเทียบเงินเดือนที่อยากได้
สามารถเข้าไปดูบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ career-advice/category/first-job