แม้เราจะขนานนามคนทำงานออฟฟิศกันว่าเป็นเหล่ามนุษย์เงินเดือน แต่ความจริงแล้วเรื่องของเงินเดือนอาจไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตของคนทำงานเสมอไป เพราะเมื่อถึงคราวที่พวกเขามีความรู้สึกอยากลาออก หรืออยากเปลี่ยนงานขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาได้เงินเดือนน้อย หรือไม่ได้รับการปรับเงินเดือนแบบสมน้ำสมเนื้อเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย มาดูกันว่าจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนเราอยากเปลี่ยนงานบ้าง
เรื่องโลเคชันของออฟฟิศถือว่าเป็นสิ่งที่หลายคนนำมาพิจารณาในการเลือกเข้าทำงานกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งเช่นกัน เพราะอย่างที่รู้กันว่าการจราจรในเมืองหลวงไม่เคยปราณีใคร ยิ่งถ้าฝนตกแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าใช้ชีวิตกันบนถนนไปแบบยาวๆ ดังนั้นการมองหาบริษัทที่อยู่ในทำเลที่ดี การคมนาคมสะดวกสบาย มีรถไฟฟ้าผ่านหน้าบริษัท ก็คงเป็นเป้าหมายสำคัญของมนุษย์เงินเดือนเช่นกัน เพราะแค่ทำงานก็เครียดพออยู่แล้ว หากต้องมาเผชิญความเครียดกับการจราจรทั้งขาไปขากลับอีกล่ะก็ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพจิตแน่ๆ
สาเหตุการ Burn Out อาจเกิดขึ้นได้จากหลายองค์ประกอบ บางคนอยากเปลี่ยนงานเพราะเบื่อกับบรรยากาศเดิมๆ ในออฟฟิศปัจจุบันก็มี พวกเขาจึงต้องแสวงหาช่องทางในการเปลี่ยนงานใหม่ เพื่อจะได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานในบรรยากาศใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือสถานที่ตั้งบริษัท เป็นต้น เมื่อได้เจออะไรใหม่ๆ พวกเขาก็จะรู้สึกท้าทายและช่วยปลุกไฟในการทำงานให้กลับมาลุกโชนอีกครั้ง
บางคนอาจเริ่มต้นเส้นทางมนุษย์เงินเดือนจากบริษัทเล็กๆ หรือบริษัท Start-Up แต่เมื่อเห็นว่ามีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงเปิดรับสมัครงาน หรือวันดีคืนดีได้รับ Offer จากบริษัทชั้นนำ พวกเขาก็คงไม่คิดที่จะปิดโอกาสตัวเองในการได้ร่วมงานกับบริษัทชื่อดังระดับประเทศแน่ๆ เพราะนอกจากจะกลายเป็นความภาคภูมิใจเมื่อได้บอกใครๆ ว่าคุณทำงานกับบริษัทชื่อดังแล้ว
จุดนี้ยังถือเป็นการช่วยเพิ่มประสบการณ์การทำงานชั้นดีอีกด้วย เพราะถือเป็นแรงกระตุ้นให้คุณทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ และพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิม แถมยังสามารถต่อยอดในเส้นทางการทำงานในอนาคตของคุณให้สดใสกว่าเดิม เนื่องจากมีชื่อของบริษัทชั้นนำมาประดับไว้ในเรซูเม่แล้ว
ปัญหาสุดคลาสสิกสำดับที่ 1 ที่ทำให้คนอยากเปลี่ยนงาน คือเรื่องของเพื่อนร่วมงานนี่แหละ หากโชคดีได้เพื่อนร่วมงานที่ดี ก็จะคอยช่วยเหลือกัน ช่วยแก้ปัญหา และเข้าใจกัน จนสามารถผลิตผลงานออกได้ตรงตามเวลาและมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากโชคร้ายเจอเพื่อนร่วมงานสุด Toxic ขี้เม้าท์ขี้นินทา อิจฉาริษยา หรือเกี่ยงงาน ย่อมไม่ส่งดีทั้งต่อผลงานและสภาพจิตใจคุณแน่ๆ สุดท้ายแล้วก็ต้องเกิดการเปลี่ยนงาน เพื่อไปหาทีมที่เหมาะสม มีเคมีที่ลงตัว และร่วมกันทำงานได้อย่างมีความสุข
อีกหนึ่งปัญหาสุดคลาสสิกเช่นกันที่มีส่วนให้คนอยากเปลี่ยนงานมากเป็นลำดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ บางคนบอกว่าเจอเพื่อนร่วมงาน Toxic ยังถือว่าพอทนได้ แต่ถ้าเจอหัวหน้าหรือเจ้านายที่ Toxic แบบสุดๆ อย่างไรก็คงต้องขอบาย ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าขี้วีน รักลูกน้องไม่เท่ากัน เอาเปรียบ ไม่รับผิดชอบ ฯลฯ ทำให้ลูกน้องรู้สึกว่าทำไมฉันต้องมานั่งทนกับอะไรแบบนี้ให้เสียสุขภาพจิต ดังนั้นทางออกก็คือการลาออกเพื่อหางานใหม่ บางคนที่เจอสถานการณ์ร้ายแรงมากๆ ก็เลือกที่จะลาออกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้งานใหม่ก็มี เพราะหากเจอหัวหน้าที่ไม่ดีแล้ว ต้องบอกโอกาสที่จะมีความสุขในการทำงาน หรือโอกาสที่เติบโตในหน้าที่การงานเป็นไปได้ยากสุดๆ
บางคนอาจเคยรู้สึกว่าตัวเองมาทำอะไรที่บริษัทนี้ นั่นอาจเป็นเพราะเป้าหมายการทำงานที่คุณตั้งไว้ ไม่ตรงกับเป้าหมายขององค์กร ซึ่งถือเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์จากผู้บริหาร ที่ทำหน้าที่ในการกำหนดเป้าหมายขององค์กร ซึ่งบางคนก็ไม่ได้มีความเชื่อในวิสัยทัศน์เหล่านี้ หรือคิดว่าเป้าหมายที่องค์กรตั้งไว้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง หากเขาทำงานที่นี่ต่อไปก็คงได้พัฒนาตัวเอง หรือไม่ได้รับโอกาสดีๆ ในการเติบโตด้านหน้าที่การงานเท่าที่ควร
ในยุคนี้หลายบริษัทต่างงัดกลเม็ดเด็ดเรื่องสวัสดิการ มาใช้ดึงดูดคนที่มีความสามารถให้มาร่วมงานด้วย สิ่งเหล่านี้จึงถือเป็นกำไรของมนุษย์เงินเดือนอย่างแท้จริง ที่บริษัทให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงาน ซึ่งหากบริษัทไหนที่มีสวัสดิการชั้นดีแบบอัดแน่น ก็จะทำให้พนักงานรู้สึกว่าบริษัทเห็นคุณค่าของพวกเขา และพร้อมที่จะตั้งใจทำงาน มอบผลงานที่มีประสิทธิภาพกลับคืนให้บริษัท แต่บริษัทไหนที่สวัสดิการไม่ค่อยตอบโจทย์พนักงาน ก็อาจจะกลายเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พนักงานคิดอยากจะเปลี่ยนงาน เพื่อไปทำงานกับบริษัทที่มีสวัสดิการที่เพียบพร้อมกว่าก็เป็นได้
พนักงานทุกคนล้วนตั้ง Career Path ให้กับตัวเองแทบทั้งสิ้น คงไม่มีใครที่อยากย่ำอยู่กับที่ ทำงานตำแหน่งเดิมไปเรื่อยๆ หรอก ทุกคนล้วนแล้วก็อยากได้รับการปรับตำแหน่ง ได้รับเงินเดือนที่สูงขึ้นตามประสบการณ์และอายุการทำงาน แต่หากบริษัทปัจจุบันที่พวกเขาทำงานอยู่ ละเลยเรื่องนี้หรือปล่อยให้พวกเขาทำงานไปวันๆ แบบไม่มีจุดยืน หรือไม่มีโครงสร้างในการปรับตำแหน่งที่ชัดเจน การเปลี่ยนงานก็คงต้องเป็นทางออกให้พวกเขาได้ขยับขยายและเติบโตในหน้าที่การงาน
ซึ่งบางคนก็เลือกวิธีการเปลี่ยนงานนี่แหละ เพื่อเป็นการอัปตำแหน่งหน้าที่การงานให้เติบโตขึ้น ยิ่งคนที่มีทักษะและประสบการณ์ที่อัดแน่นแล้ว การสมัครงานใหม่ในตำแหน่งที่ใหญ่กว่าก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก
การจะผลิตผลงานใดๆ ออกมาให้มีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยทักษะเฉพาะตัวในงานนั้นๆ บางคนสมัครงานเข้ามาทำงานตรงสายก็จริง แต่พอได้เข้ามาทำงานในบริษัทจริงๆ กลับโดนมอบหมายงานแบบจับฉ่าย ซึ่งบางอย่างเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ถนัด ไม่มีประสบการณ์ หรือขาดทักษะในการทำสิ่งๆ นั้นให้มีคุณภาพ นั่นก็อาจกลายเป็นความเบื่อหน่ายจนทำให้อยากเปลี่ยนงานได้เช่นกัน
หรือบางคนที่มีความพยายามในการฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้สามารถทำได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายแล้วกลับได้รับการประเมินผลที่ไม่ดีนักหรือบริษัทกลับไม่เห็นคุณค่าจากการทุ่มเทของพวกเขา ขอย้ายทีมหรือปฏิเสธไปว่าตนเองไม่ถนัด แต่บริษัทก็ยังเฉยเมย ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่พวกเขาจะทนอยู่ต่อไป
เราอยู่ในยุคที่เรื่องของ Work Life Balance เป็นสิ่งที่สำคัญ พนักงานหลายคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นยากมาก ด้วยการแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน ในเวลางานก็ทุ่มเทกับมันอย่างเต็มที่ แต่ถ้าหากเวลางาน ก็ต้องให้เวลากับชีวิตส่วนตัว หรือได้รับการพักผ่อนที่เหมาะสม แต่หากมีบริษัทที่ไม่เคารพเวลาส่วนตัวพนักงาน สั่งงานแบบอัดแน่นจนพนักงานต้องเลิกงานดึก หรือต้องหอบงานกลับไปทำงานที่บ้าน ก็อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พนักงานอยากเปลี่ยนงานได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงเรื่องของการตามงานนอกเวลางาน ทักมาขอให้ทำงานแบบด่วนๆ ในวันหยุด ใช้แชทส่วนตัวในการคุยมากกว่าแอปพลิเคชันสนทนาที่ทางบริษัทกำหนด ก็ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่พนักงานหลายคนเบื่อหน่ายด้วยเหมือนกัน
สถานการณ์โควิดส่งผลระยะยาวทั้งในเรื่องสุขภาพของมนุษย์ รวมไปถึงเศรษฐกิจโลก หลายบริษัทต่างประสบปัญหานี้จนต้องปิดตัวไปหลายที่ แต่อีกหลายบริษัทก็ยังอยู่ฟื้นตัว เพื่อเร่งทำผลกำไรให้กลับมาเป็นปกติ หากบริษัทเหล่านั้นมีการสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงาน ว่าบริษัทยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่มีผลกระทบมากนัก แน่นอนว่าพนักงานก็จะรู้สึกว่าตนเองมีความมั่นคงในชีวิตและไม่ถูกลอยแพกลางคัน
แต่หากบริษัทไม่มีการชี้แจงผลประกอบการในพนักงานได้รับทราบ หรือไม่มีการแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงให้พนักงานได้รับรู้ พวกเขาก็จะรู้สึกสั่นคลอนหรือต้องคอยมานั่งระแวงว่าวันใดวันหนึ่งพวกเขาจะโดนเลย์ออฟ หรือต้องตกงานแบบกะทันหันหรือไม่ จนอาจทำให้พวกเขารีบชิงส่งใบลาออกเพื่อเปลี่ยนงานไปหาบริษัทที่มั่นคงเสียก่อน
บางคนเป็นคนที่ชอบความท้าทายและอยากหาสิ่งใหม่ๆ ให้ตัวเองตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ลึกๆ แล้วบริษัทที่ทำงานอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย เจ้านายดี เพื่อนร่วมงานน่ารัก สวัสดิการจัดเต็ม หรือวัฒนธรรมองค์กรตอบโจทย์ แต่พวกเขาเหล่านี้อยากพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การเปลี่ยนงานจึงถือเป็นทางออกที่ได้พบเจอกับความท้าทายใหม่ๆ ได้ฝึกฝนทักษะ หรือเรียนรู้ประสบการณ์อื่นๆ เพิ่มเติม
การเปลี่ยนงานไม่ใช่เรื่องแปลกหรือเรื่องผิด เพียงแต่มนุษย์เงินเดือนต้องวิเคราะห์และพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียให้ถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ หรือเป็นเพียงอาการ Burn Out ที่สามารถแก้ได้ พยายามคิดไว้เสมอทุกๆ ออฟฟิศก็ย่อมมีปัญหาด้วยกันแทบทั้งนั้น อยู่ที่จะแตกต่างกันอย่างไร แต่หากตัดสินใจดี ก็ควรจะหางานใหม่ให้ได้ ก่อนที่จะลาออก เพื่อความมั่นคงในชีวิตของคุณเอง
ใครที่กำลังมองหางานใหม่อยู่ Jobsdb พร้อมช่วยอย่างคุณอย่างเต็มที่ เข้ามาฝากโปรไฟล์หรือค้นหางานที่ชอบ บริษัทที่ใช่กันได้เลย เรามีงานชั้นยอดจากบริษัทชั้นนำให้คุณค้นหามากมาย หางานดี ที่พอดีกับตัวคุณ Match งานที่ใช่ ได้ดีกว่าเดิมด้วย AI จาก Jobsdb