ทำความรู้จัก Gaslighting ความสัมพันธ์แบบหลอกปั่นหัวแล้วเข้าควบคุม

ทำความรู้จัก Gaslighting ความสัมพันธ์แบบหลอกปั่นหัวแล้วเข้าควบคุม
Jobsdb ทีมเนื้อหาอัปเดตเมื่อ 27 December, 2024
Share

Key Takeaway

  • ความหมายของ Gaslighting คือการทารุณกรรมทางจิตใจที่บิดเบือนความคิดและความรู้สึกของเหยื่อ ทำให้เหยื่อสูญเสียความมั่นใจในความทรงจำและสัญชาตญาณของตัวเอง เกิดความลังเลแม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
  • ความสัมพันธ์แบบ Gaslighting มีอยู่ 4 ประเภทหลักๆ คือการทำให้คิดว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ (Trivializing) ทำให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายผิด (Blame-shifting) ไม่ยอมรับความจริง (Denying) และการชอบบิดเบือนความจริง (Twisting)
  • การ Gaslighting ในที่ทำงานแสดงผ่านการวิจารณ์งานที่ทำถูกต้อง การสร้างภาพว่าเป็นคนทำงานยาก บิดเบือนความจริง โกงไอเดีย กีดกันข้อมูลสำคัญ ปฏิเสธดีของผลงาน แต่โยนความผิดเมื่อเกิดปัญหา
  • การรับมือ Gaslighting คือเว้นระยะห่าง เก็บหลักฐาน ปรึกษาคนไว้ใจเพื่อเป็นพยาน เผชิญหน้าโดยตรง และขอความช่วยเหลือจากคนอื่นหรือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากจำเป็น

สิ่งที่ทรมานที่สุดคือการสงสัยกับความเชื่อที่เราเคยเชื่อมาตลอด หลายครั้งที่คนเราโดนหลอกปั่นหัวได้อย่างแนบเนียนจนไม่ทันสังเกตผ่านสิ่งที่เรียกว่า Gaslighting แล้วคุณกำลังโดนปั่นหัวอยู่หรือเปล่า? บทความนี้จะพาไปรู้จักความสัมพันธ์แบบ Gaslighting ว่าคืออะไร เกี่ยวข้องกับการแสดงอำนาจอย่างไร พร้อมวิธีรับมือให้หลุดพ้นจากความสัมพันธ์สุด Toxic นี้!

ความสัมพันธ์แบบ Gaslighting คืออะไร

ความสัมพันธ์แบบ Gaslighting คืออะไร 

ความหมายของคำว่า Gaslighting คือรูปแบบการทารุณกรรมทางจิตใจที่คนหนึ่งบิดเบือนความคิดและความรู้สึกของอีกฝ่าย ทำให้เหยื่อสูญเสียความมั่นใจในการรับรู้และความทรงจำของตัวเอง แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ยังคงสงสัยและไม่เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง

การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการทารุณกรรมทางจิตใจที่ร้ายแรง มักเกิดในความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น ครอบครัว คู่รัก หรือเพื่อน และเป็นสัญญาณของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) โดยผู้กระทำมักใช้วิธีนี้เพื่อควบคุมและแสดงอำนาจต่ออีกฝ่าย ซึ่งอาจเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ได้

ประเภทของการ Gaslighting

ประเภทของการ Gaslighting

ความสัมพันธ์แบบ Gaslighting สามารถพบเห็นได้ใน 4 รูปแบบหลักๆ ดังนี้

1. ทำให้คิดว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ (Trivializing)

การทำให้รู้สึกว่า ‘ไม่สำคัญ’ (Trivializing) เป็นรูปแบบหนึ่งของการ Gaslighting ที่ผู้กระทำมักใช้เพื่อปกป้องตัวเองเมื่อมีคนบอกว่าพฤติกรรมที่ทำนั้นไม่เหมาะสม พวกเขามักลดทอนความรุนแรงของการกระทำตัวเองด้วยคำพูด เช่น “แค่ล้อเล่น” หรือ “หยอกเฉยๆ” โดยเฉพาะในกรณีการคุกคามทางเพศหรือการกลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่า การตอบสนองแบบไม่ใส่ใจนี้ยิ่งตอกย้ำให้ผู้ถูกกระทำไร้ค่ามากขึ้นไปอีก

2. ทำให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายผิด (Blame-shifting)

การผลักภาระความผิด (Blame-shifting) เป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในความสัมพันธ์ใกล้ชิด โดยเฉพาะคู่รักที่มีการใช้ความรุนแรง ผู้กระทำมักโยนความผิดให้เหยื่อ อ้างว่าที่ต้องทำร้ายเพราะอีกฝ่ายไม่ดี บางครั้งถึงขั้นสร้างหลักฐานเท็จหรือหาพยานปลอมมายืนยัน ยิ่งทำให้เหยื่อรู้สึกอับอายและเจ็บปวดมากขึ้น 

3. ไม่ยอมรับความจริง (Denying)

การปฏิเสธความจริง (Denying) พบได้บ่อยในผู้ที่ชอบ Gaslighting เพราะลึกๆ แล้วพวกเขารู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด จึงมักโกหกหรือพูดกลับไปกลับมา เมื่อถูกเปิดโปงความผิด มักตอบโต้ด้วยอาการโมโหรุนแรงหรือไม่ก็แสร้งทำเป็นเศร้าเพื่อเรียกร้องความสงสาร พร้อมทั้งพยายามเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่นแทน 

4. ชอบบิดเบือนความจริง (Twisting)

การบิดเบือนความจริง (Twisting) เป็นเทคนิคที่ผู้กระทำใช้เมื่อถูกเปิดโปง โดยพวกเขาจะเล่าความจริงเพียงบางส่วนพร้อมเพิ่มเติมรายละเอียดที่ทำให้ตัวเองดูดี เช่น อธิบายการคุกคามว่าเป็นการดูแล หรือเบี่ยงเบนประเด็นการบังคับขู่เข็ญให้กลายเป็นความห่วงใยแทน ทำให้คนภายนอกที่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดเข้าใจผิดและเห็นใจผู้กระทำแทน

ผลกระทบจากการโดน Gaslighting ที่รุนแรงมากกว่าที่คิด

ผลกระทบจากการโดน Gaslighting ที่รุนแรงมากกว่าที่คิด

ผลกระทบจาก Gaslighting คือการทำร้ายจิตใจที่รุนแรงไม่แพ้การทำร้ายร่างกายเลย จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า สมองไม่สามารถแยกความเจ็บปวดทางกายและใจออกจากกันได้เมื่อถูกกระทำเป็นเวลานาน 

ผู้ถูกกระทำมักรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้ไม่ได้ทำผิด สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง รู้สึกไม่มีคุณค่า เครียด วิตกกังวล จนถึงขั้นหวาดระแวง เริ่มไม่ไว้ใจการตัดสินใจของตัวเอง และอาจยอมรับความจริงที่บิดเบือนตามที่ผู้กระทำสร้างขึ้นมา

ด้วยความร้ายแรงของผลกระทบ สังคมจึงควรให้ความสำคัญกับการทารุณกรรมทางจิตใจในรูปแบบนี้ไม่ต่างจากการทำร้ายร่างกาย แม้จะมองไม่เห็นบาดแผล แต่ความเจ็บปวดและผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นอาจฝังลึกและส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ถูกกระทำในระยะยาว

สัญญาณบ่งบอกว่ากำลังถูก Gaslighting ในที่ทำงาน

สัญญาณบ่งบอกว่ากำลังถูก Gaslighting ในที่ทำงาน

การ Gaslighting ในที่ทำงานเป็นรูปแบบการควบคุมทางจิตวิทยาที่ทำให้พนักงานสูญเสียความมั่นใจในความสามารถและการตัดสินใจของตัวเอง ดังที่อาจารย์มาเรีย คอร์โดวิกซ์ได้อธิบายไว้ว่า 

“บ่อยครั้งพฤติกรรมนี้มักเกิดจากการใช้อำนาจเหนือกว่าของบุคคลหนึ่ง เพื่อเอาเปรียบหรือแสวงหาผลประโยชน์จากอีกฝ่าย”

แล้วจะสังเกตได้อย่างไรว่ากำลังถูก Gaslighting มาเช็กสัญญาณของ Gaslighting ในที่ทำงานรูปแบบต่างๆ ดังนี้ 

  • การถูกวิจารณ์งานทั้งที่ทำตามบรีฟถูกต้องแล้ว 
  • การไม่ได้รับการตอบรับในเชิงบวกจากเพื่อนร่วมงานเลย 
  • การถูกสร้างภาพลักษณ์ในแง่ลบว่าเป็นคนที่ทำงานด้วยยาก 
  • การถูกบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือการสื่อสารที่เคยเกิดขึ้นว่าเราเป็นคนผิดเอง
  • การถูกกีดกันจากการรับรู้ข้อมูลสำคัญ เช่น กำหนดส่งงานหรือการเปลี่ยนแปลงนโยบาย 
  • การถูกจับผิดจากเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ
  • การถูกโกหกหรือปฏิเสธคำพูดที่ที่พวกเขาเคยพูดไว้ 
  • การที่ไม่สามารถแจ้งข้อกังวล ความคิดเห็นที่ถูกเพิกเฉย หรือการที่ไม่ได้รับการยอมรับ
  • การถูกปฏิเสธความรับผิดชอบในผลงานที่ดี แต่กลับถูกโยนความรับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหาแทน 
  • การที่ไอเดียถูกขโมยไป แล้วโดนอ้างไปเป็นผลงานของคนอื่น 

พฤติกรรมเหล่านี้ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ จะกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ ทำลายความไว้วางใจและบรรยากาศการทำงาน ซึ่งควรจะเป็นพื้นที่แห่งการสนับสนุนและส่งเสริมซึ่งกันและกัน

วิธีรับมือกับความสัมพันธ์แบบ Gaslighting ในที่ทำงาน

วิธีรับมือกับความสัมพันธ์แบบ Gaslighting ในที่ทำงาน

วิธีรับมือกับความสัมพันธ์แบบ Gaslighting ในที่ทำงาน สามารถทำได้ดังนี้

เว้นระยะห่าง

เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูก Gaslighting สิ่งแรกที่ควรทำคือการสร้างระยะห่างในความสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้อยู่ร่วมกัน อาจทำได้โดยการย้ายที่พัก เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ หรือปรับเส้นทางการเดินทาง หากเกิดขึ้นในที่ทำงาน อาจพิจารณาย้ายแผนกหรือเปลี่ยนที่ทำงาน แม้จะดูยุ่งยาก แต่ก็เป็นการปกป้องสุขภาพจิตในระยะยาว

เก็บหลักฐานกันไว้

ขณะเดียวกัน การเก็บรวบรวมหลักฐานอย่างเป็นระบบถือเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มจากการจดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ อย่างละเอียด และรวบรวมหลักฐานลายลักษณ์อักษร เช่น อีเมล ข้อความ หรือบันทึกการประชุม เพื่อยืนยันความจริง เพราะสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งได้ ระบบศาลมีผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาและกลไกคุ้มครองผู้ถูกกระทำ หลักฐานที่แน่นหนาจะช่วยให้เราสามารถผลักดันผู้กระทำออกจากชีวิตได้อย่างถาวร

ปรึกษาคนที่ไว้ใจ

เมื่อเผชิญหน้ากับผู้กระทำ อย่าพยายามจัดการตามลำพัง ควรมีบุคคลที่สามมาเป็นกันชนหรือ Buffer เพื่อลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เราถูกบิดเบือนความคิดหรือถูกทำร้ายหนักขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นคนที่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่เราถูกกระทำนั้นเป็นความจริงอีกด้วย

เผชิญหน้าโดยตรง

การเผชิญหน้าโดยตรงต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งด้านข้อมูลและจิตใจ เริ่มจากการรวบรวมหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อยืนยันความจริงที่เกิดขึ้น เมื่อพร้อมที่จะเผชิญหน้า ควรเลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม ที่มีความเป็นส่วนตัวแต่ปลอดภัย พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง ชัดเจน และสุภาพ ใช้ข้อความที่เน้นความรู้สึกของตัวเอง เช่น “ฉันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคุณ…” แทนการกล่าวหา

หากถูกปฏิเสธหรือบิดเบือน ให้ยืนยันความจริงด้วยหลักฐานที่มี อย่าหวั่นไหวกับการโต้แย้งหรือการพยายามทำให้สับสน ถ้าการสนทนาเริ่มบานปลาย ให้ยุติการสนทนาอย่างสุภาพและกลับมาคุยในโอกาสที่เหมาะสมกว่า ที่สำคัญ ควรมีพยานหรือบุคคลที่ไว้ใจอยู่ด้วยระหว่างการเผชิญหน้า เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการบิดเบือนเหตุการณ์ในภายหลัง

ขอความช่วยเหลือ

สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าคิดว่าตัวเองสมควรถูกกระทำหรือเป็นความผิดของตัวเอง เราทุกคนมีสิทธิที่จะขอความช่วยเหลือและปกป้องตัวเอง ควรใช้สิทธิในฐานะพลเมืองให้เต็มที่ ทั้งการใช้กฎหมายคุ้มครองและการขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างประโยค Gaslighting ที่พบเจอบ่อยๆ

ตัวอย่างประโยค Gaslighting ที่พบเจอบ่อยๆ

การรับมือที่ดีที่สุดเมื่อเจอ Gaslighting คือการไม่ให้ความสนใจกับคำพูดเหล่านั้น เพราะเป้าหมายของผู้กระทำคือการทำให้เราสงสัยในตัวเอง หงุดหงิด และเสียความมั่นใจ 

ประโยคที่พวกเขามักใช้เริ่มจาก “เธอกำลังพูดอะไรอยู่” หรือ “ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นนะ” ซึ่งเป็นความพยายามที่จะทำให้เราสงสัยในความทรงจำและการรับรู้ของตัวเอง พวกเขายังมักใช้ประโยคที่ลดทอนความรู้สึกของเราเช่น “อย่าอ่อนไหวเกินไปน่า” หรือ “อย่าเก็บเอาไปคิดมากสิ” ทั้งที่ความอ่อนไหวเป็นคุณลักษณะเชิงบวกที่แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจและความสามารถในการปรับตัว แต่ผู้กระทำพยายามบิดเบือนให้เป็นจุดอ่อนหรือข้อเสีย

พวกเขามักใช้ประโยคที่สร้างความแปลกแยก เช่น “ทุกคนคิดว่าเธอบ้าไปแล้ว” เพื่อทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวและอ่อนแอลง ใช้คำขอโทษที่ไม่จริงใจอย่าง “ขอโทษแล้วกันที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น” และเมื่อถูกท้วงติง พวกเขามักจะปัดความรับผิดชอบด้วยประโยค “ฉันก็แค่พูดเล่นไปเรื่อยเอง” เพื่อทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่เข้าใจมุกตลกหรือเรื่องสนุกๆ

เมื่อเจอประโยคเหล่านี้ เราควรตระหนักว่านี่คือเทคนิคการ Gaslighting และยึดมั่นในความรู้สึกและการรับรู้ของตัวเองไว้ให้มั่น โดยไม่ปล่อยให้คำพูดเหล่านี้มามีอิทธิพลต่อความมั่นใจและการตัดสินใจของเรา 

สรุป

ทุกคนมีคุณค่าและศักดิ์ศรีที่ต้องได้รับการเคารพ ไม่มีใครควรทนอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกทำร้ายจิตใจ การ Gaslighting คือรูปแบบของความรุนแรงที่อาจมองไม่เห็นบาดแผล แต่สามารถทำลายความสุขภาพจิตได้ ทุกคนมีสิทธิที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ได้รับการเคารพ และสามารถแสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกได้อย่างเสรี

หากใครกำลังเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ เพราะคุณไม่ได้เผชิญกับมันเพียงลำพัง และคุณสมควรได้รับการปกป้องคุ้มครองตามสิทธิที่กฎหมายรับรอง

ใครที่กำลังเผชิญกับความสัมพันธ์แบบ Gaslighting ในที่ทำงาน และต้องการหางานใหม่ ให้ Jobsdb เป็นทางเลือกที่ดีให้คุณได้เฟ้นหาองค์กรที่มีวัฒนธรรมดีและเพื่อนร่วมงานที่สนับสนุนสุขภาพจิตที่ดี

More from this category: ทักษะในการทำงาน

เรียกดูคำค้นหาที่ได้รับความนิยม

ทราบหรือไม่ว่าผู้สมัครค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไรใน Jobsdb? สำรวจคำค้นหาที่ได้รับความนิยมเพื่ออัพเดทเทรนด์ใหม่เสมอ

สมัครรับคำแนะนำด้านอาชีพ

รับคำปรึกษาด้านอาชีพจากผู้เชี่ยวชาญส่งตรงถึงอินบ็อกซ์ของคุณ
ท่านได้ยอมรับคำประกาศเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล และนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หากท่านมีอายุต่ำกว่า 20 ปี ท่านได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อยินยอมให้ Jobsdb และบริษัทในเครือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านสามารถยกเลิกได้ทุกเวลา