Key Takeaway
สิ่งที่ทรมานที่สุดคือการสงสัยกับความเชื่อที่เราเคยเชื่อมาตลอด หลายครั้งที่คนเราโดนหลอกปั่นหัวได้อย่างแนบเนียนจนไม่ทันสังเกตผ่านสิ่งที่เรียกว่า Gaslighting แล้วคุณกำลังโดนปั่นหัวอยู่หรือเปล่า? บทความนี้จะพาไปรู้จักความสัมพันธ์แบบ Gaslighting ว่าคืออะไร เกี่ยวข้องกับการแสดงอำนาจอย่างไร พร้อมวิธีรับมือให้หลุดพ้นจากความสัมพันธ์สุด Toxic นี้!
ความหมายของคำว่า Gaslighting คือรูปแบบการทารุณกรรมทางจิตใจที่คนหนึ่งบิดเบือนความคิดและความรู้สึกของอีกฝ่าย ทำให้เหยื่อสูญเสียความมั่นใจในการรับรู้และความทรงจำของตัวเอง แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ก็ยังคงสงสัยและไม่เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง
การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการทารุณกรรมทางจิตใจที่ร้ายแรง มักเกิดในความสัมพันธ์ใกล้ชิด เช่น ครอบครัว คู่รัก หรือเพื่อน และเป็นสัญญาณของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) โดยผู้กระทำมักใช้วิธีนี้เพื่อควบคุมและแสดงอำนาจต่ออีกฝ่าย ซึ่งอาจเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ได้
ความสัมพันธ์แบบ Gaslighting สามารถพบเห็นได้ใน 4 รูปแบบหลักๆ ดังนี้
การทำให้รู้สึกว่า ‘ไม่สำคัญ’ (Trivializing) เป็นรูปแบบหนึ่งของการ Gaslighting ที่ผู้กระทำมักใช้เพื่อปกป้องตัวเองเมื่อมีคนบอกว่าพฤติกรรมที่ทำนั้นไม่เหมาะสม พวกเขามักลดทอนความรุนแรงของการกระทำตัวเองด้วยคำพูด เช่น “แค่ล้อเล่น” หรือ “หยอกเฉยๆ” โดยเฉพาะในกรณีการคุกคามทางเพศหรือการกลั่นแกล้งคนที่อ่อนแอกว่า การตอบสนองแบบไม่ใส่ใจนี้ยิ่งตอกย้ำให้ผู้ถูกกระทำไร้ค่ามากขึ้นไปอีก
การผลักภาระความผิด (Blame-shifting) เป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในความสัมพันธ์ใกล้ชิด โดยเฉพาะคู่รักที่มีการใช้ความรุนแรง ผู้กระทำมักโยนความผิดให้เหยื่อ อ้างว่าที่ต้องทำร้ายเพราะอีกฝ่ายไม่ดี บางครั้งถึงขั้นสร้างหลักฐานเท็จหรือหาพยานปลอมมายืนยัน ยิ่งทำให้เหยื่อรู้สึกอับอายและเจ็บปวดมากขึ้น
การปฏิเสธความจริง (Denying) พบได้บ่อยในผู้ที่ชอบ Gaslighting เพราะลึกๆ แล้วพวกเขารู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นผิด จึงมักโกหกหรือพูดกลับไปกลับมา เมื่อถูกเปิดโปงความผิด มักตอบโต้ด้วยอาการโมโหรุนแรงหรือไม่ก็แสร้งทำเป็นเศร้าเพื่อเรียกร้องความสงสาร พร้อมทั้งพยายามเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่นแทน
การบิดเบือนความจริง (Twisting) เป็นเทคนิคที่ผู้กระทำใช้เมื่อถูกเปิดโปง โดยพวกเขาจะเล่าความจริงเพียงบางส่วนพร้อมเพิ่มเติมรายละเอียดที่ทำให้ตัวเองดูดี เช่น อธิบายการคุกคามว่าเป็นการดูแล หรือเบี่ยงเบนประเด็นการบังคับขู่เข็ญให้กลายเป็นความห่วงใยแทน ทำให้คนภายนอกที่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดเข้าใจผิดและเห็นใจผู้กระทำแทน
ผลกระทบจาก Gaslighting คือการทำร้ายจิตใจที่รุนแรงไม่แพ้การทำร้ายร่างกายเลย จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่า สมองไม่สามารถแยกความเจ็บปวดทางกายและใจออกจากกันได้เมื่อถูกกระทำเป็นเวลานาน
ผู้ถูกกระทำมักรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นแม้ไม่ได้ทำผิด สูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง รู้สึกไม่มีคุณค่า เครียด วิตกกังวล จนถึงขั้นหวาดระแวง เริ่มไม่ไว้ใจการตัดสินใจของตัวเอง และอาจยอมรับความจริงที่บิดเบือนตามที่ผู้กระทำสร้างขึ้นมา
ด้วยความร้ายแรงของผลกระทบ สังคมจึงควรให้ความสำคัญกับการทารุณกรรมทางจิตใจในรูปแบบนี้ไม่ต่างจากการทำร้ายร่างกาย แม้จะมองไม่เห็นบาดแผล แต่ความเจ็บปวดและผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นอาจฝังลึกและส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ถูกกระทำในระยะยาว
การ Gaslighting ในที่ทำงานเป็นรูปแบบการควบคุมทางจิตวิทยาที่ทำให้พนักงานสูญเสียความมั่นใจในความสามารถและการตัดสินใจของตัวเอง ดังที่อาจารย์มาเรีย คอร์โดวิกซ์ได้อธิบายไว้ว่า
“บ่อยครั้งพฤติกรรมนี้มักเกิดจากการใช้อำนาจเหนือกว่าของบุคคลหนึ่ง เพื่อเอาเปรียบหรือแสวงหาผลประโยชน์จากอีกฝ่าย”
แล้วจะสังเกตได้อย่างไรว่ากำลังถูก Gaslighting มาเช็กสัญญาณของ Gaslighting ในที่ทำงานรูปแบบต่างๆ ดังนี้
พฤติกรรมเหล่านี้ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ จะกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ ทำลายความไว้วางใจและบรรยากาศการทำงาน ซึ่งควรจะเป็นพื้นที่แห่งการสนับสนุนและส่งเสริมซึ่งกันและกัน
วิธีรับมือกับความสัมพันธ์แบบ Gaslighting ในที่ทำงาน สามารถทำได้ดังนี้
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูก Gaslighting สิ่งแรกที่ควรทำคือการสร้างระยะห่างในความสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ได้อยู่ร่วมกัน อาจทำได้โดยการย้ายที่พัก เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ หรือปรับเส้นทางการเดินทาง หากเกิดขึ้นในที่ทำงาน อาจพิจารณาย้ายแผนกหรือเปลี่ยนที่ทำงาน แม้จะดูยุ่งยาก แต่ก็เป็นการปกป้องสุขภาพจิตในระยะยาว
ขณะเดียวกัน การเก็บรวบรวมหลักฐานอย่างเป็นระบบถือเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มจากการจดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ อย่างละเอียด และรวบรวมหลักฐานลายลักษณ์อักษร เช่น อีเมล ข้อความ หรือบันทึกการประชุม เพื่อยืนยันความจริง เพราะสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นที่พึ่งได้ ระบบศาลมีผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาและกลไกคุ้มครองผู้ถูกกระทำ หลักฐานที่แน่นหนาจะช่วยให้เราสามารถผลักดันผู้กระทำออกจากชีวิตได้อย่างถาวร
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้กระทำ อย่าพยายามจัดการตามลำพัง ควรมีบุคคลที่สามมาเป็นกันชนหรือ Buffer เพื่อลดความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เราถูกบิดเบือนความคิดหรือถูกทำร้ายหนักขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นคนที่สามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่เราถูกกระทำนั้นเป็นความจริงอีกด้วย
การเผชิญหน้าโดยตรงต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งด้านข้อมูลและจิตใจ เริ่มจากการรวบรวมหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อยืนยันความจริงที่เกิดขึ้น เมื่อพร้อมที่จะเผชิญหน้า ควรเลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม ที่มีความเป็นส่วนตัวแต่ปลอดภัย พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง ชัดเจน และสุภาพ ใช้ข้อความที่เน้นความรู้สึกของตัวเอง เช่น “ฉันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคุณ…” แทนการกล่าวหา
หากถูกปฏิเสธหรือบิดเบือน ให้ยืนยันความจริงด้วยหลักฐานที่มี อย่าหวั่นไหวกับการโต้แย้งหรือการพยายามทำให้สับสน ถ้าการสนทนาเริ่มบานปลาย ให้ยุติการสนทนาอย่างสุภาพและกลับมาคุยในโอกาสที่เหมาะสมกว่า ที่สำคัญ ควรมีพยานหรือบุคคลที่ไว้ใจอยู่ด้วยระหว่างการเผชิญหน้า เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการบิดเบือนเหตุการณ์ในภายหลัง
สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าคิดว่าตัวเองสมควรถูกกระทำหรือเป็นความผิดของตัวเอง เราทุกคนมีสิทธิที่จะขอความช่วยเหลือและปกป้องตัวเอง ควรใช้สิทธิในฐานะพลเมืองให้เต็มที่ ทั้งการใช้กฎหมายคุ้มครองและการขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
การรับมือที่ดีที่สุดเมื่อเจอ Gaslighting คือการไม่ให้ความสนใจกับคำพูดเหล่านั้น เพราะเป้าหมายของผู้กระทำคือการทำให้เราสงสัยในตัวเอง หงุดหงิด และเสียความมั่นใจ
ประโยคที่พวกเขามักใช้เริ่มจาก “เธอกำลังพูดอะไรอยู่” หรือ “ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นนะ” ซึ่งเป็นความพยายามที่จะทำให้เราสงสัยในความทรงจำและการรับรู้ของตัวเอง พวกเขายังมักใช้ประโยคที่ลดทอนความรู้สึกของเราเช่น “อย่าอ่อนไหวเกินไปน่า” หรือ “อย่าเก็บเอาไปคิดมากสิ” ทั้งที่ความอ่อนไหวเป็นคุณลักษณะเชิงบวกที่แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจและความสามารถในการปรับตัว แต่ผู้กระทำพยายามบิดเบือนให้เป็นจุดอ่อนหรือข้อเสีย
พวกเขามักใช้ประโยคที่สร้างความแปลกแยก เช่น “ทุกคนคิดว่าเธอบ้าไปแล้ว” เพื่อทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวและอ่อนแอลง ใช้คำขอโทษที่ไม่จริงใจอย่าง “ขอโทษแล้วกันที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น” และเมื่อถูกท้วงติง พวกเขามักจะปัดความรับผิดชอบด้วยประโยค “ฉันก็แค่พูดเล่นไปเรื่อยเอง” เพื่อทำให้เรากลายเป็นคนที่ไม่เข้าใจมุกตลกหรือเรื่องสนุกๆ
เมื่อเจอประโยคเหล่านี้ เราควรตระหนักว่านี่คือเทคนิคการ Gaslighting และยึดมั่นในความรู้สึกและการรับรู้ของตัวเองไว้ให้มั่น โดยไม่ปล่อยให้คำพูดเหล่านี้มามีอิทธิพลต่อความมั่นใจและการตัดสินใจของเรา
ทุกคนมีคุณค่าและศักดิ์ศรีที่ต้องได้รับการเคารพ ไม่มีใครควรทนอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกทำร้ายจิตใจ การ Gaslighting คือรูปแบบของความรุนแรงที่อาจมองไม่เห็นบาดแผล แต่สามารถทำลายความสุขภาพจิตได้ ทุกคนมีสิทธิที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ได้รับการเคารพ และสามารถแสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึกได้อย่างเสรี
หากใครกำลังเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ เพราะคุณไม่ได้เผชิญกับมันเพียงลำพัง และคุณสมควรได้รับการปกป้องคุ้มครองตามสิทธิที่กฎหมายรับรอง
ใครที่กำลังเผชิญกับความสัมพันธ์แบบ Gaslighting ในที่ทำงาน และต้องการหางานใหม่ ให้ Jobsdb เป็นทางเลือกที่ดีให้คุณได้เฟ้นหาองค์กรที่มีวัฒนธรรมดีและเพื่อนร่วมงานที่สนับสนุนสุขภาพจิตที่ดี