PDPA คืออะไร? ความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในยุดิจิทัล

PDPA คืออะไร? ความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในยุดิจิทัล
Jobsdb ทีมเนื้อหาอัปเดตเมื่อ 17 April, 2025
Share

Key Takeaway

  • PDPA คือ กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของบุคคล เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์และความเป็นส่วนตัว
  • ป้องกันการใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ลดความเสี่ยงจากการรั่วไหล และสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยของข้อมูล ช่วยให้ธุรกิจและบุคคลทั่วไปมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน
  • ตัวอย่างข้อมูลที่ PDPA เช่น ข้อมูลส่วนตัวทั่วไป (ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร) ข้อมูลด้านอาชีพ (เรซูเม่ Portfolio) ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลสุขภาพ และข้อมูลพฤติกรรมออนไลน์ เช่น คุกกี้ และ IP Address 

ทำความรู้จักกับ PDPA คืออะไร (Personal Data Protection Act) กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกบังคับใช้ในยุคดิจิทัล ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานและองค์กร การรู้เท่าทันสิทธิ์ของตนเองและแนวทางการปฏิบัติตามกฎหมายนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทราบเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลและลดความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

PDPA คืออะไร? กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

PDPA คืออะไร? กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

PDPA (Personal Data Protection Act) หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นกฎหมายที่กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์และความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล

ข้อมูลส่วนบุคคลตาม PDPA คือ ข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนของบุคคลได้โดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน อีเมล เบอร์โทรศัพท์ รวมถึงข้อมูลในเรซูเม่ (Resume), Portfolio และ Cover Letter ที่ถูกใช้ในการสมัครงาน โดยข้อมูลเหล่านี้ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนนำไปใช้ หรือถูกจัดเก็บและประมวลผลตามหลักการที่กฎหมายกำหนด

PDPA มีความสำคัญในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลถูกแลกเปลี่ยนผ่านระบบออนไลน์อย่างรวดเร็ว หากไม่มีการคุ้มครองที่เหมาะสม อาจเกิดความเสี่ยงในการละเมิดข้อมูล เช่น การนำเรซูเม่หรือ Portfolio ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของเจ้าของข้อมูลได้

ทำความเข้าใจวัตถุประสงค์หลักของ PDPA

ทำความเข้าใจวัตถุประสงค์หลักของ PDPA

กฎหมาย PDPA ถูกบังคับใช้เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนและกำหนดมาตรฐานในการจัดการข้อมูลอย่างปลอดภัย โดยมีวัตถุประสงค์หลักดังนี้

1. ปกป้องความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล

PDPA กำหนดให้ทุกองค์กรและบุคคลที่เก็บรวบรวม ข้อมูลส่วนบุคคล ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ เช่น การขอ ความยินยอม (Consent) ก่อนใช้ข้อมูล และการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการรั่วไหล

2. กำหนดหลักเกณฑ์การใช้ข้อมูลให้โปร่งใส

ผู้ที่เก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น นายจ้างที่รับ เรซูเม่ (Resume) หรือ Portfolio ในกระบวนการรับสมัครงาน ต้องแจ้งวัตถุประสงค์ในการใช้ข้อมูลให้ชัดเจน รวมถึงต้องไม่ใช้ข้อมูลนอกเหนือจากข้อตกลง

3. ลดความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูล

ในยุคดิจิทัล ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น Cover Letter, อีเมล หรือเบอร์โทรศัพท์ อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด หากไม่มีมาตรการป้องกัน PDPA จึงช่วยลดปัญหาการรั่วไหลและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

4. เสริมสร้างความมั่นใจในการทำธุรกรรมออนไลน์

การคุ้มครองข้อมูลช่วยให้ผู้ใช้บริการออนไลน์มั่นใจในการสมัครงาน การส่ง Resume หรือ Portfolio ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ โดยไม่ต้องกังวลว่าข้อมูลจะถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

5. ส่งเสริมมาตรฐานสากลด้านการคุ้มครองข้อมูล

PDPA มีแนวทางคล้ายคลึงกับ GDPR (General Data Protection Regulation) ของสหภาพยุโรป ซึ่งช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันในระดับสากลได้โดยรักษามาตรฐานการจัดการข้อมูลที่ปลอดภัย

ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ PDPA

ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้ PDPA

ภายใต้กฎหมาย PDPA คือ ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งครอบคลุมทั้งข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้โดยตรงและโดยอ้อม ดังนี้

  1. ข้อมูลส่วนตัวทั่วไป เช่น ชื่อ-นามสกุล วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรศัพท
  2. ข้อมูลด้านอาชีพและการศึกษา เช่น ประวัติการทำงานในเรซูเม่ ตัวอย่างผลงานใน Portfolio จดหมายสมัครงาน วุฒิการศึกษา ใบรับรองต่างๆ
  3. ข้อมูลทางการเงิน เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร รายได้ รายละเอียดบัตรเครดิต
  4. ข้อมูลสุขภาพและชีวภาพ (Sensitive Data) เช่น ประวัติการรักษาพยาบาล กรุ๊ปเลือด ประวัติการแพ้ยา ข้อมูล DNA ลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า (Facial Recognition)
  5. ข้อมูลพฤติกรรมและการใช้งานออนไลน์ เช่น คุกกี้ (Cookies) ที่อยู่ IP (IP Address) ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์
  6. ข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อและอัตลักษณ์ส่วนบุคคล เช่น เชื้อชาติ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง รสนิยมทางเพศ
หลักการสำคัญของ PDPA และการปฏิบัติตามกฎหมาย

หลักการสำคัญของ PDPA และการปฏิบัติตามกฎหมาย

การปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA เป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรและบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หลักการสำคัญที่ต้องปฏิบัติตาม มีดังนี้

รวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล

การรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้ PDPA มี 3 องค์ประกอบหลัก ที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ได้แก่

  • การกำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน (Purpose Specification)
    ก่อนเก็บข้อมูล ต้องระบุวัตถุประสงค์ในการใช้ข้อมูลให้ชัดเจน เช่น การเก็บเรซูเม่ และ Portfolio เพื่อนำไปพิจารณาในการสมัครงาน หรือการใช้ Cover Letter เพื่อประเมินความเหมาะสมของผู้สมัคร
  • การขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล (Consent Collection)
    ต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลรับทราบและยินยอมก่อนทำการเก็บข้อมูล โดยข้อความขอความยินยอมต้องเข้าใจง่ายและโปร่งใส เช่น แจ้งว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้นานแค่ไหน และสามารถเพิกถอนการใช้ข้อมูลได้หรือไม่
  • การใช้ข้อมูลตามหลักความจำเป็น (Data Minimization)
    เก็บรวบรวมเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการละเมิดความเป็นส่วนตัว เช่น นายจ้างควรเก็บเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครงาน โดยไม่เก็บข้อมูลที่ไม่จำเป็นต่อการจ้างงาน

ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้และไม่เกินความจำเป็น เช่น การใช้ เรซูเม่ Portfolio หรือ Cover Letter ในการพิจารณาผู้สมัครงานเท่านั้น ห้ามนำไปใช้เพื่อการตลาดโดยไม่ได้รับความยินยอม ข้อมูลต้องได้รับการรักษาความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสและการจำกัดสิทธิ์เข้าถึง นอกจากนี้เจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์ขอแก้ไข ลบ หรือเพิกถอนการใช้ข้อมูลได้ ดังนั้นองค์กรจึงต้องมีมาตรการรองรับ รวมถึงกำหนดระยะเวลาเก็บข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

มาตรการด้านรักษาความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล

การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด โดยใช้การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้อง และติดตามการใช้งานข้อมูลเพื่อลดความเสี่ยงจากการรั่วไหล รวมถึงควรมีระบบสำรองข้อมูล (Backup) อย่างสม่ำเสมอ และกำหนดนโยบายลบข้อมูลเมื่อหมดความจำเป็น เช่น ลบเรซูเม่ของผู้สมัครที่ไม่ได้รับการคัดเลือกเพื่อลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล โดยต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่าข้อมูลจะถูกเปิดเผยต่อใครและเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น การส่งเรซูเม่ หรือ Portfolio ให้กับบริษัทคู่ค้าเพื่อพิจารณารับสมัครงาน ต้องได้รับการยินยอมก่อนเสมอ และควรมีมาตรการป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้เกินขอบเขต เช่น การทำสัญญาความลับ (NDA) กับบุคคลหรือองค์กรที่ได้รับข้อมูล เพื่อป้องกันการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

กำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคล

การกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคลต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยกำหนดนโยบายและแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูล ต้องมีการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบดูแลด้านการคุ้มครองข้อมูล รวมถึงกำหนดมาตรการตรวจสอบและประเมินความปลอดภัยของข้อมูลเป็นระยะ หากมีการละเมิดหรือรั่วไหล ต้องดำเนินการแจ้งเตือนและแก้ไขโดยเร็วเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

PDPA ส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจและบุคคลทั่วไป

PDPA ส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจและบุคคลทั่วไป

กฎหมาย PDPA มีผลกระทบทั้งต่อภาคธุรกิจและบุคคลทั่วไป โดยกำหนดมาตรฐานการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัยและถูกต้อง ซึ่งส่งผลในด้านต่างๆ ดังนี้

สำหรับธุรกิจ

องค์กรที่มีการเก็บและใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น แผนก HR ต้องปรับกระบวนการรับสมัครงานให้เป็นไปตามกฎหมาย เช่น การขอความยินยอมก่อนเก็บเรซูเม่ หรือข้อมูลผู้สมัครงาน นอกจากนี้ต้องมีมาตรการป้องกันข้อมูลรั่วไหล หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกลงโทษตามกฎหมาย

สำหรับบุคคลทั่วไป

ผู้ใช้งานออนไลน์ต้องระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น การกรอกแบบฟอร์มสมัครงานหรือการส่งข้อมูลให้หน่วยงาน HR ควรตรวจสอบวัตถุประสงค์การใช้ข้อมูลก่อนให้ความยินยอม นอกจากนี้ PDPA ยังช่วยให้เจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์ร้องขอให้ลบหรือแก้ไขข้อมูลของตนเอง

สำหรับธุรกิจที่ทำการตลาดออนไลน์

การใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อโฆษณาหรือส่งอีเมลต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ PDPA เช่น การขอความยินยอมก่อนใช้ข้อมูลเพื่อส่งโฆษณาทางอีเมลหรือ SMS หากละเมิดอาจถูกฟ้องร้องและเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า

บทลงโทษจากการไม่ปฏิบัติตาม PDPA

บทลงโทษจากการไม่ปฏิบัติตาม PDPA

หากองค์กรหรือบุคคลฝ่าฝืนกฎหมาย PDPA อาจได้รับบทลงโทษที่แบ่งออกเป็น 3 ทางหลัก ดังนี้

โทษทางแพ่ง

  • สิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหาย เจ้าของข้อมูลสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากองค์กรหรือบุคคลที่ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของตน
  • ประเภทของค่าเสียหายที่สามารถเรียกร้องได้ รวมถึงค่าเสียหายทางการเงิน ชื่อเสียง หรือผลกระทบอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลโดยมิชอบ
  • ค่าชดเชยสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด ผู้กระทำผิดอาจต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นเงินจำนวนสูง โดยขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการละเมิด
  • กรณีฟ้องร้องเป็นกลุ่ม (Class Action Lawsuit) หากมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก อาจรวมตัวกันฟ้องร้องเป็นคดีแบบกลุ่มเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย
  • การชดเชยค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย ผู้ละเมิดอาจต้องรับผิดชอบค่าทนายความและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีทางกฎหมาย

โทษทางอาญา

  • จำคุกสูงสุด 1 ปี กรณีที่มีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโดยเจตนา เช่น นำข้อมูลไปขายหรือเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หากมีการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่เจ้าของข้อมูล ผู้กระทำผิดอาจถูกสั่งปรับเป็นจำนวนเงินตามระดับความรุนแรงของการละเมิด
  • ทั้งจำทั้งปรับในกรณีร้ายแรง หากการละเมิดมีผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลในวงกว้าง หรือทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจหรือชื่อเสียงอย่างมีนัยสำคัญ ศาลอาจพิจารณาลงโทษทั้งจำคุกและปรับ
  • การกระทำผิดโดยมิชอบเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ หากข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปใช้เพื่อการทุจริต เช่น หลอกลวง ฉ้อโกง หรือแอบอ้างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ผู้กระทำผิดอาจถูกดำเนินคดีในข้อหาทางอาญาเพิ่มเติม
  • การละเมิดข้อมูลที่มีผลกระทบต่อสาธารณะ กรณีที่ข้อมูลรั่วไหลส่งผลเสียต่อบุคคลจำนวนมาก อาจมีการดำเนินคดีโดยหน่วยงานรัฐ และมีโทษหนักขึ้นตามขอบเขตของความเสียหาย

โทษทางปกครอง

  • ปรับสูงสุด 5 ล้านบาท หากองค์กรหรือบุคคลละเมิดการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การเก็บข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอม หรือใช้ข้อมูลเกินขอบเขตที่แจ้งไว้ อาจถูกปรับเป็นจำนวนเงินสูงสุดตามกฎหมาย
  • การเตือนหรือสั่งให้ปรับปรุงการปฏิบัติ หน่วยงานกำกับดูแลอาจออกคำสั่งให้ผู้ละเมิดปรับปรุงกระบวนการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การปรับปรุงนโยบายการเก็บข้อมูลหรือการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล
  • คำสั่งระงับการดำเนินการบางอย่าง หากการละเมิดรุนแรง หน่วยงานสามารถออกคำสั่งห้ามดำเนินการบางกิจกรรม เช่น หยุดการใช้หรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • การกำหนดระยะเวลาที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง องค์กรที่ถูกลงโทษทางปกครองต้องดำเนินการแก้ไขภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกปรับเพิ่ม
  • การเผยแพร่ข้อมูลการละเมิด ในบางกรณี อาจมีการเผยแพร่ข้อมูลการละเมิดต่อสาธารณะเพื่อให้ประชาชนและลูกค้ารู้ถึงความเสี่ยงและปัญหาด้านการคุ้มครองข้อมูล

สรุป

PDPA คือ กฎหมายสำคัญที่ช่วยคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในยุคดิจิทัล ครอบคลุมการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลอย่างปลอดภัย ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามอาจได้รับโทษทั้งทางปกครอง แพ่ง และอาญา โดยเฉพาะองค์กรที่มีการจัดเก็บข้อมูลผู้สมัครงาน เช่น เรซูเม่ (Resume) และ Portfolio จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PDPA อย่างเคร่งครัด หากคุณกำลังมองหางานผ่านแพลตฟอร์มสมัครงานออนไลน์ที่ JobsDB มีนโยบายการจัดเก็บและใช้ข้อมูลที่โปร่งใส พร้อมมาตรการป้องกันข้อมูลรั่วไหล ช่วยให้คุณสมัครงานได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

More from this category: ทักษะในการทำงาน

เรียกดูคำค้นหาที่ได้รับความนิยม

ทราบหรือไม่ว่าผู้สมัครค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไรใน Jobsdb? สำรวจคำค้นหาที่ได้รับความนิยมเพื่ออัพเดทเทรนด์ใหม่เสมอ

สมัครรับคำแนะนำด้านอาชีพ

รับคำปรึกษาด้านอาชีพจากผู้เชี่ยวชาญส่งตรงถึงอินบ็อกซ์ของคุณ
ท่านได้ยอมรับคำประกาศเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล และนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หากท่านมีอายุต่ำกว่า 20 ปี ท่านได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อยินยอมให้ Jobsdb และบริษัทในเครือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านสามารถยกเลิกได้ทุกเวลา