เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหู หรือได้ยินแนวคิดแบบลีน (Lean) กันมาบ้างในแวดวงธุรกิจ ยิ่งโดยเฉพาะในระดับผู้บริหาร ลีนเองเป็นหนึ่งในแนวคิดการจัดการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยการที่เน้นลดต้นทุนการผลิต ในขณะที่ปลายทางได้ผลลัพธ์เทียบเท่าแบบเดิมหรือมากขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะในยุคสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้แล้ว องค์กรต่าง ๆ จึงพากันยึด Lean management เป็นสำคัญ มาดูกันว่าแนวคิดแบบลีนคืออะไร
คำว่า ลีน (Lean) แปลตรงตัวได้ว่า เพรียวหรือบาง หากอยู่ในบริบทของการออกกำลัง หมายถึงคนที่มีไขมันน้อย เช่นเดียวกันเมื่อนำแนวคิดแบบลีนมาใช้กับธุรกิจ จึงหมายถึง “การลด” ตั้งแต่ต้นทุน ลดคนทำงาน ไปจนถึงลดขั้นตอนและกระบวนการทำงานที่ไม่สร้างมูลค่า ตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป ภายใต้เงื่อนไขเรื่องประสิทธิภาพ ที่ต้องได้เท่าเดิมหรือมากขึ้น แต่ไม่น้อยลง
แนวคิดแบบลีนเริ่มเป็นที่รู้จักช่วงปี 1980 ในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของโตโยต้า โดยการเอาแนวคิดของลูกค้าเป็นที่ตั้ง อะไรที่ลูกค้าไม่ต้องการก็เอาออก เพื่อเป็นการกำจัดความสูญเปล่า ลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำที่สุดในระยะที่เร็วที่สุด โดยคงคุณภาพและการบริการเอาไว้ได้ดีเหมือนเดิม
Lean Manufacturing คือ แนวคิดการดำเนินงาน โดยการตัดหรือลีนสิ่งไม่จำเป็นเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด หรือที่เรียกว่าการลด “Wastes” หรือ ความสูญเปล่าในการดำเนินงานออกไป เป็นวิธีการลดต้นทุนที่ทุกองค์กรไม่ว่าอยู่ในอุตสาหกรรมไหนก็ปรับใช้ได้หมด ครอบคลุมทุกภาคส่วน ถือเป็นหนึ่งในแนวทางปรับปรุงการทำงานที่เห็นผลและจับต้องได้
การใช้ Lean management อย่างไรให้ได้ผล ด้วยหลัก 5 ข้อ ที่จะทำให้การลีนองค์กรไปถึงเป้าหมายอย่างที่ตั้งใจ
ประการแรก คือการหาคำตอบให้ชัดเจนถึงคุณค่าของสิ่งที่บริษัทต้องการทำ การมองหาสิ่งที่ลูกค้าต้องการจากสินค้าหรือบริการขององค์กร และยึดสิ่งดังกล่าวเป็นคุณค่าของการใช้แนวคิดแบบลีน เพื่อให้สินค้าหรือบริการตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุดที่สุด ซึ่งสามารถหาคำตอบได้หลากหลายวิธี เช่น การสัมภาษณ์ ทำแบบสอบถาม สังเกตพฤติกรรม ฯลฯ
ประการที่สองของแนวคิดแบบลีนคือ การวางแผนดำเนินงาน โดยยึดคุณค่าที่ลูกค้าต้องการจากสินค้าและบริการเป็นหลัก จากนั้นจึงแตกประเด็นและเนื้องานในการดำเนินงานออกมาเป็นส่วน ๆ ในขั้นตอนนี้จะทำให้เห็นว่ามีอะไรในกระบวนการที่ไม่จำเป็นบ้าง สิ่งนี้จะเรียกว่า ความสูญเปล่า หรือ Waste นั่นเอง สามารถแบ่งความสูญเปล่าเป็น 2 รูปแบบด้วยกัน คือ
เมื่อระบุความสูญเปล่าได้แล้ว ก็เป็นขั้นตอนของการกำจัดสิ่งนี้ออกจากงานที่ต้องดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนหรืองบประมาณ
ประการที่สาม คือ การออกแบบขั้นตอนการทำงานที่เหมาะสม ให้งานออกมาอย่างราบรื่น โดยเน้นที่ขั้นตอนซึ่งเป็นประโยชน์ต่อวัตถุประสงค์ จบงานได้ไวแบบไม่สะดุด โดยกลยุทธ์ที่นำมาใช้ อาจเป็นการแยกย่อยงานออกเป็นส่วน ๆ การคิดกระบวนการทำงานอีกครั้งหนึ่ง การกำจัด Workload หรือการทำงานแบบข้ามแผนก
ประการต่อมาคือการผลิตแบบทันเวลาพอดี ซึ่งหมายถึงการหาทางเพื่อจะได้ผลิตสินค้าตามความต้องการจริงของลูกค้า ไม่จำเป็นต้องค้างสต็อกเอาไว้จำนวนมาก ซึ่งทำให้เพิ่มทั้งต้นทุนวัตถุดิน พื้นที่จัดเก็บ แรงงาน และเวลาที่ต้องใช้ในการจัดการ ส่วนนี้จะช่วยให้ลดความสูญเปล่าได้
ประการสุดท้ายเป็นเรื่องของการวัดผลการทำงาน เมื่อจัดการสะสางทำงานด้วยระบบใหม่ เน้นลดเน้น Lean แล้ว ผลเป็นไปตามที่ตั้งไว้หรือไม่ มีอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไข หรือทำได้ดีกว่าเดิม รวมถึงการกลับไปคิดและหาส่วนที่เป็นความสูญเปล่าอื่น ๆ ที่อาจซ่อนอยู่ในเนื้องานอีกด้วย
การลดหรือเลือกตัดความสูญเปล่าในแนวคิดแบบลีน แบ่งออกเป็นความสูญเปล่า 7 ประการ (Wastes) โดยทั้งหมดนี้ระบุไว้ในหนังสือวิถีแห่งโตโยต้า (The Toyota Way)
หัวใจหลักของการลีนคือเรื่องการลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน เพราะทุกธุรกิจต่างก็ต้องการให้สิ่งที่ลงทุนไปคุ้มค่ามากที่สุด ดังนั้นประโยชน์ของลีนคือ การลดเงินลงทุนให้น้อยลง ลงขั้นตอนการทำงาน และส่วนอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น
แนวคิดแบบลีนจะช่วยให้พนักงานทำงานได้ราบรื่นขึ้น เพราะ Lean เอาสิ่งที่ไม่จำเป็นออก ลดขั้นตอนและการตรวจสอบบางอย่างทิ้งไป เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของแนวคิดแบบลีนคือเน้นตอบความต้องการของลูกค้า แน่นอนว่าหากองค์กรลีนไปในทิศทางนั้น ทำตามใจตรงใจลูกค้าอย่างจริงใจและซื่อสัตย์ ท้ายแล้วสิ่งที่ตามมาคือเรื่องของความภักดีในยี่ห้อสินค้า (Brand Loyalty) แน่นอน
เมื่อเริ่มลดต้นทุน ประหยัดค่าใช้จ่าย สิ่งที่ตามของการลีนคือการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ทั้งในเรื่องของทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรการผลิต
แนวคิดแบบ Lean และแนวคิดแบบ Agile มองภาพรวมอาจดูคล้ายกัน คือ เป็นแนวคิดในการลดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากกระบวนการทำงาน เพื่อให้ได้งานที่รวดเร็ว จบงานไวอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามทั้งสองแนวคิดนี้ยังมีความต่างกันอยู่หลายมุม อย่างจุดเด่นของแนวคิดแบบลีนจะตั้งต้นจากความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ทำให้ข้อเสียจึงเป็นเรื่องของการเสียตัวตน เสียอัตลักษณ์ขององค์กรเพราะมัวแต่วิ่งตามความต้องการของลูกค้า ขณะที่ Agile เน้นการบริหารบุคคลผ่านกระบวนการทำงาน โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพเป็นเครื่องมือหรือเป็นจุดแข็ง ดังนั้น จุดอ่อนของ Agile จึงเป็นเรื่องของคุณค่าและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จะอยู่ที่ตัวพนักงานมากกว่าลูกค้า อาจจะตอบความต้องการของลูกค้าได้น้อยกว่าแบบลีน
แนวคิดแบบลีนสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกองค์กร ไม่ว่าบริษัทจะทำธุรกิจแบบไหนก็บริหารด้วย Lean ได้ ลองตั้งต้นจากความต้องการของลูกค้า แล้วมองภาพรวมการทำงานทั้งหมดให้ละเอียด ดูว่ามีส่วนไหนต้องแก้ไข ต้องเอาออกเพื่อให้ส่วนอื่น ๆ ทำงานได้อย่างราบรื่นขึ้น เพียงเท่านี้เส้นชัยที่ครองใจลูกค้าได้ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ที่มา: theleanway.net, ptc.com