เข้าใจดีว่าในโลกของทุนนิยมที่บีบบังคับให้โลกทุกวันหมุนด้วยความไวแสง ทั้งความเร่งรีบของไทม์ไลน์ ภาระงานที่คนทำงานแต่ละคนต้องใส่บ่าแบกหามเอาไว้ ท่ามกลางแรงกดดันต่าง ๆ ทั้ง KPI ที่คอยประเมินเราทุกปี/ทุกเดือน ไหนจะเพื่อนร่วมงานที่พาปวดสมอง จนอยากจะแจ้งลาออกให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอเห็นภาระทุกสิ้นเดือนที่ต้องจ่ายแล้วก็ได้แต่คิดว่า เอาแค่ลางานไปก่อนละกัน
ถึงอย่างนั้นก็ตาม สำหรับพนักงานบางคนกับแค่ลางาน ยังเป็นเรื่องยาก ด้วยข้อแม้ต่าง ๆ ของแต่ละบริษัทที่แสนจะจุกจิก แต่อย่าลืมว่าร่างกายและหัวใจคนเราไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์ ที่จะอดทนต่อสิ่ง Toxic จากการทำงานได้อย่างไม่กระทบกระเทือน ลองหาเวลาสำรวจความรู้สึกตัวเองให้ดีว่ายังไหวอยู่ไหม หัวใจส่งสัญญาณเตือนอะไรบ้างหรือเปล่า
แต่ละวันเราอาจจะหัวหมุนและทุ่มเทเวลาไปกับการทำงาน จนลืมที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเอง วันนี้ JobsDB ชวนชาวออฟฟิศสำรวจส่วนลึกของตัวคุณเอง ว่ากำลังอยู่ใน Status ไหน ยังไหวและไปต่ออยู่ไหม หรือกำลังร่อแร่ใกล้ Burnout เต็มทน
ถ้าตอนนี้ยังลาออกไม่ได้ ก็ลางานไปก่อนแล้วกัน!
ข้อนี้ต้องแยกด้วยความจริงใจให้ออกว่า เรากำลังเหนื่อยล้า หดหู่ เศร้าหมองจากการทำงานจริง ๆ ไม่ใช่ขี้เกียจ ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังให้ผ่านบทความนี้ไปก่อน แต่ถ้าคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าไม่ใช่ความขี้เกียจ เป็นความเครียดเรื่องงานที่กัดกินหัวใจคุณมาอย่างยาวนาน จนทำให้เรากลายเป็นคนเศร้ากับเย็นวันอาทิตย์ในทุกสัปดาห์
อย่าปล่อยให้ตัวเองจมกับความรู้สึกเศร้าเหล่านี้นาน ๆ หากปล่อยไว้นานวันเข้า สะสมเข้าเรื่อย ๆ อาจจะป่วยทางใจได้ แนะนำให้หาความสุขจากสิ่งอื่น ลางานไปเที่ยว ช้อปปิ้ง ดูแลตัวเองใช้ชีวิตให้หัวใจสูบฉีด เปลี่ยนน้ำหนักในชีวิตจากงานถ่ายเทให้อย่างอื่นดูบ้าง อาจจะช่วยให้เบาลง
เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สัญญาณเตือนที่สังเกตได้ง่ายสุด เพราะสะท้อนผ่านอาการเจ็บปวดทางร่างกาย อย่างที่หลาย ๆ คนเป็นคือ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย ออฟฟิศซินโดรม ภูมิต้านทานตก ป่วยบ่อย พักผ่อนน้อย ฯลฯ ซึ่งโรคเหล่านี้มักมาจากการโหมงานหนัก จนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรือแม้กระทั่งไม่มีเวลาที่จะนอนให้พอ รวมถึงอาการเครียดจนนอนไม่หลับ ก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่หนุ่มสาวชาวออฟฟิศเป็นกันมาก
นอกจากสุขภาพกายแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องเท่าทันอยู่เสมอคือ สุขภาพใจของตัวเราเอง หมั่นใส่ใจ เข้าใจและรู้ทันความรู้สึกตัวเองอยู่เสมอ ว่าตอนนี้อยู่ในสภาวะไหน หนักเกินไปแล้ว เกินจะแบกไหม ที่สำคัญแล้วรู้สึกแล้วต้องยอมรับให้ได้ อย่าพยายามเข้มแข็งและคิดว่ายังไหว ลางานไปพักผ่อนใช้เวลากับสิ่งที่เรารักอื่น ๆ ดูบ้าง เพื่อถนอมหัวใจและร่างกายของเราให้เข้มแข็งอยู่เสมอ
ความเฉื่อยชา ความทำงานไปวัน ๆ แบบไปเรื่อย ๆ จะบอกว่าเป็นสัญญาณเตือนก็บอกได้ไม่เต็มปาก เชื่อว่าคนทำงานบางคนก็พอใจที่จะอยู่ในสถานะการทำงานแบบนั้น ไม่ได้อยากแข่งขันกับใคร หรือเติบโตอะไรมากมายในสายงาน พอใจกับสิ่งที่เป็นแล้ว เลยทำให้เขาทำงานด้วยใจแบบนั้น
แต่ในมุมขององค์กรคงไม่ถูกใจนักที่พนักงานที่จ่ายเงินเดือนให้ทุกเดือนมีความคิดแบบนั้น เพราะนั่นเป็นสิ่งสะท้อนในเชิงลบที่ว่า พนักงานคนนี้ไม่พร้อมที่จะพัฒนาหรือเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ แล้ว อาจจะไม่คุ้มค่าในการจ้างงาน ซึ่งความเสี่ยงตรงนี้คุณเองต้องพร้อมรับไว้เช่นกัน อย่าลืมว่าการแข่งขันเรื่องงานในปัจจุบันค่อนข้างสูง ปี ๆ หนึ่งมีเด็กจบใหม่รอแทนเราในอัตราค่าจ้างที่ถูกกว่า
เรื่องนี้อาจจะต้องลองหาตรงกลาง บาลานซ์แบบสมดุล ทำงานไปวัน ๆ ได้แต่อย่าดูเฉื่อยจนไม่เอาอะไร เบื่อ ๆ ก็ลองลางาน หาอะไรเปิดหูเปิดตาให้เฟรชดับความเบื่อ แล้วกลับมาทำงานด้วยไฟที่ไม่มอดไหม้
เมื่อเราใช้ชีวิตและทำงานมาได้จุดหนึ่ง บางอย่างก็เริ่มตกตะกอนมากขึ้น เวลาเปลี่ยน เป้าหมายในชีวิตก็ไม่เหมือนเดิม จากที่เคยเป็นคนรักงานทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับงาน ถึงวันนี้เป้าหมายที่เรามองไปข้างหน้า กลับไม่เป็นเรื่องงาน กลายเป็นครอบครัว การใช้ชีวิตและความสุข ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะทำให้หมดแพชชันกับการทำงาน
อย่างน้อยคุณเองก็เริ่มยอมรับและเข้าใจความต้องการที่แท้จริง อาจจะลองปรับขยับขยาย ถ้างานที่ทำอยู่ตรงนี้ไม่ตอบโจทย์ชีวิตที่อยากเป็น สร้างทุกข์ให้มากกว่าสุข ทางเดียวก็คือลาออก หรือถ้ารู้สึกพอปรับได้ไหวอยู่ ลองจัดสมดุลชีวิตให้ดี อาจจะลองย้ายทีม ปรับอะไรบางอย่างลงเพื่อให้งานเบาขึ้น แลกกับเวลาชีวิตที่มากกว่าเดิม หรือจะลองลางานยาว ๆ ไปพักเบรก ก็อาจจะช่วยให้ใจของคุณดีขึ้นได้
จริงอยู่ที่เทรนด์การทำงานแบบ Work life balance เป็นสิ่งที่มาแรงในช่วงหลัง ๆ แต่อย่างที่เห็นว่ามีการถกเถียงกันอยู่เสมอ ว่าการทำงานแบบไลฟ์บาลานซ์มีจริงเหรอ สำหรับคนที่ถวิลหาความสำเร็จในเรื่องงาน คำตอบคือใช่ เป็นธรรมดาของโลก อะไรที่เราทุ่มเทเวลาให้แบบไร้บาลานซ์ ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มากกว่าปกติ เพราะคุณใช้เวลาเป็นสิ่งลงทุนที่มากกว่าใคร
ย้อนกลับมาที่ตัวคุณเอง ชีวิตแบบใดที่เราอยากมี หากคุณมีงานเป็นเส้นชัยในชีวิตก็ลุยไปเลยอย่าได้แคร์ใคร เพราะนั่นชีวิตของคุณ คุณมีสิทธิ์เลือก แต่ถ้าใครไม่ได้รู้สึกว่างานคือทั้งหมด เป้าหมายในชีวิตคือความเรียบง่ายกับครอบครัว เวลา 24 ชั่วโมงที่คุณมีก็ควรถูกแบ่งน้ำหนักไปยังเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่ง ไม่แปลกถ้าคุณจะเหนื่อยล้าหากต้องใช้เวลาไปกับการทำงานที่มากเกินไป การโดนตามงานในวันหยุด ลางานแล้วเหมือนไม่ได้ลา ยังต้องตอบงานอยู่เรื่อย ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นดึงเวลาคุณจากครอบครัวไป
สัญญาณเตือน 5 ข้อด้านบนเป็นเพียงตัวอย่างเล่าให้เห็นภาพ เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้ใจตัวเองดีที่สุด อย่าลืมว่าชีวิตคนเราแสนสั้น จงรีบทำอะไรที่อยากทำ ลองอะไรที่อยากลอง เวลาเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีค่า เพราะได้มาฟรี ๆ จนเราลืมคิดไปว่าทุกอย่างบนโลกนี้มีเวลาจำกัด คุณเองก็เช่นกัน ใช้ชีวิตโดยเอาความสุขเป็นที่ตั้ง จะทำงานก็ได้ รักใครก็ได้ รักตัวเองก็ดี
ลางานยาว ๆ ออกไปเจออะไรใหม่ ๆ เพื่อเติมใจของเราใจให้ฟูดูบ้าง อย่ามัวก้มหน้าทำงานจนจมอยู่กับใจที่เหี่ยวเฉา การเปิดโอกาสให้ตัวเองไปเจออะไรใหม่ ๆ ก็นับเป็นการเรียนรู้ในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถ้ารู้สึกว่า ลางานไม่เพียงพอ ลาออกให้มันจบดีกว่า ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ขอให้คิดถึง Jobsdb แพลตฟอร์มหางานออนไลน์ที่เต็มไปด้วยองค์กรชั้นนำของไทยมากมาย!