ข้อมูลจากงานวิจัย Global Talent Survey (GTS) ของ JobsDB พบว่า คนไทยเริ่มมีการทำงานในรูปแบบของการทำงานทางไกล (Remote Working) มาตั้งแต่ก่อนเกิดภาวะโรคระบาดแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้มีปริมาณมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย โดยมีเพียงจำนวนประมาณ 3% นั่นหมายความว่า การทำงานทางไกล ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทย และเป็นรูปแบบการทำงานที่ถูกหยิบยกขึ้นมาปรับใช้ในองค์กรมากขึ้นในปัจจุบัน แต่จะ ทำงานทางไกลอย่างไร ให้งานดี มีความสุข เรามีวิธีมาบอก
Remote Workingการทำงานไร้พรมแดน
การทำงานทางไกล เป็นรูปแบบของการทำงานที่นำเทคโนโลยี เข้ามาช่วยเพื่อให้งานสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ ที่มีอินเทอร์เน็ตเข้าถึง จะเป็น ที่บ้าน หรือ co-working space หรือร้านกาแฟ
การทำงานทางไกลยังรวมไปถึงการเป็นพนักงานขององค์กร ที่บริษัทตั้งอยู่ต่างประเทศ และไม่มีสำนักงานอยู่ในประเทศที่จ้าง เช่น ไม่มีสำนักงานในประเทศไทย แต่จ้างคุณเป็นพนักงานในรูปแบบการทำงานทางไกล ได้รับผลตอบแทนเป็นเงินเดือนพนักงาน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการจ้างงานของแต่ละองค์กร
จากข้อมูล Global Talent Survey (GTS) ยังพบอีกว่า การที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้คนไทยมีการใช้งานเครื่องมือดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น มีรูปแบบการทำงานเป็นทีม มีความยืดหยุ่นของเวลาการทำงานรวมถึงสถานที่ในการทำงานเพิ่มขึ้น เมื่อการทำงานระยะไกลกำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตการทำงานของคนไทยในไม่ช้า เรามาเรียนรู้ข้อดีของการทำงานทางไกลกัน
ลดความเครียดจากการทำงาน
สภาพแวดล้อมจากสถานที่ทำงาน หัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงาน สามารถสร้างความกดดัน และความเครียดในการทำงานได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่รูปแบบของการทำงานทางไกล ช่วยลดความเครียดนี้ลงได้ เพราะพนักงานมีความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น ลดการเผชิญหน้า ลดการต้องพบกับความเข้มงวดและกฏระเบียบในที่ทำงานลงได้ นอกจากลดความเครียดลงแล้ว ยังทำให้สุขภาพและความเป็นอยู่ของพนักงานดีขึ้นด้วย เพราะเครียดน้อยลงจากการเดินทาง มีเวลาในการออกกำลังกายและดูแลสุขภาพตัวเองเพิ่มขึ้น
ได้ปริมาณงานเพิ่มขึ้น
เมื่อภาวะความเครียดจากการทำงานลดน้อยลง ก็จะส่งผลดีให้พนักงานโฟกัสกับงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้ผลิตชิ้นงานได้ปริมาณมากขึ้น และยังได้งานที่มีประสิทธิภาพกว่าแต่ก่อนด้วย เพราะพนักงานมีโอกาสได้โฟกัสกับงานของตัวเอง ในพื้นที่ทำงานที่ให้ความรู้สึกสบายใจ ไม่มีความกดดันรอบข้าง
ประหยัดต้นทุนทั้งองค์กรและพนักงาน
ในส่วนขององค์กร รายจ่ายที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดที่สุดคือ ค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน ค่าไฟฟ้า ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซึ่งบริษัทมักจะคิดต้นทุนพนักงานเป็นรายบุคคลหรือต่อหัว เมื่อลดการจำนวนวันในการเข้าสำนักงาน หรือทำงานทางไกล 100% ก็ตัดรายจ่ายไปได้ทันที ขณะที่พนักงานก็ประหยัดค่าใช้จ่ายลง ในส่วนของค่าเดินทางไปทำงาน ค่าอาหาร ค่าครองชีพในแต่ละวันลง แต่อาจต้องไปชดเชยเพิ่มที่ค่าไฟบ้าน ค่าอินเทอร์เน็ต หรือค่าเสื่อมของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ปัจจุบัน หลายองค์กรระดับโลกกำลังนำนโยบายการทำงานทางไกล มาปรับใช้แบบจริงจังและถาวร เช่น Facebook ที่ปรับให้พนักงานทำงานที่บ้าน รวมถึง Twitter แม้ว่าบางตำแหน่งยังไม่สามารถใช้รูปแบบการทำงานทางไกลได้ เช่นต้องทำงานในห้องทดลองก็ตาม หากอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถิติ Remote working ทั้งของไทยและทั่วโลก สามารถเข้าไปอ่านผลงานวิจัย Global Talent Survey ฉบับเต็มได้ ที่นี่
ส่วนใครที่กำลังมีแผนจะเปลี่ยนงานช่วงกลางปี สามารถค้นหางานที่ตรงใจจากองค์กรชั้นนำที่ JobsDB รวบรวมไว้ให้แล้วที่แอปพลิเคชัน JobsDB
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ทั้ง iOS และ Android
https://th.jobsdb.com/th-th/articles/ทำงานระยะไกล/
https://th.jobsdb.com/th-th/articles/work-from-home-%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%99/