Key Takeaway
มาทำความเข้าใจกันว่าบำเหน็จหมายถึงอะไร และเหตุใดจึงถือเป็นสวัสดิการสำคัญหลังเกษียณ บำเหน็จไม่ใช่แค่เงินก้อนที่ได้รับเมื่อออกจากงานหรือเกษียณอายุเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักประกันทางการเงินที่จะช่วยให้ชีวิตหลังทำงานมั่นคงและอุ่นใจมากยิ่งขึ้น
บำเหน็จหมายถึงสวัสดิการรูปแบบหนึ่งที่มอบให้แก่ผู้ที่รับราชการมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยจะจ่ายให้เพียงครั้งเดียวเมื่อออกจากงานหรือเกษียณอายุ พูดง่ายๆ คือบำเหน็จคือเงินก้อนใหญ่ที่ได้รับครั้งเดียว เพื่อเป็นหลักประกันทางการเงินหลังจากสิ้นสุดการทำงานราชการ
บำเหน็จปกติหมายถึงเงินตอบแทนที่มอบให้แก่ผู้ที่ทำงานราชการมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยคำนวณจากระยะเวลาการทำงานและตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย เงินบำเหน็จนี้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นสวัสดิการหลังเกษียณหรือออกจากราชการ เพื่อให้ผู้เกษียณมีความมั่นคงทางการเงินในชีวิตหลังการทำงาน ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับบำเหน็จคือ
บำเหน็จตกทอดหมายถึงเงินตอบแทนที่มอบให้แก่ทายาทของข้าราชการที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่หรือหลังจากเกษียณอายุ โดยจ่ายให้กับครอบครัวหรือผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย เพื่อช่วยเหลือและให้ความมั่นคงทางการเงินในช่วงเวลาที่ขาดผู้ดูแล จุดประสงค์ของบำเหน็จตกทอดคือการเป็นสวัสดิการสำหรับครอบครัวของข้าราชการที่ไม่ได้รับการดูแลหลังจากการจากไป โดยผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับบำเหน็จตกทอดคือ
บำเหน็จดำรงชีพหมายถึงเงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับบำนาญเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนในการดำรงชีพ โดยจะช่วยให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ โดยผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับคือ
เงินบำนาญคือเงินตอบแทนความชอบที่ได้รับจากการทำงานราชการ ซึ่งจ่ายเป็นรายเดือนหลังจากข้าราชการเกษียณอายุ เพื่อช่วยให้ผู้เกษียณมีความมั่นคงทางการเงินในชีวิตหลังเกษียณ
บำเหน็จและบำนาญต่างกันอย่างไร? บำเหน็จและบำนาญมีความแตกต่างในจุดประสงค์และการจ่าย โดยบำเหน็จเป็นเงินก้อนที่จ่ายครั้งเดียวเมื่อข้าราชการเกษียณ ขณะที่บำนาญเป็นเงินรายเดือนที่ช่วยให้ข้าราชการมีความมั่นคงทางการเงินในช่วง Silver Age การเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองจึงสำคัญในการเตรียมตัวหลังเกษียณ
สิทธิประโยชน์ | บำเหน็จ | บำนาญ |
เงินที่ได้รับ | เงินก้อนครั้งเดียว | ได้รับเงินรายเดือนอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เว้นแต่จะหมดสิทธิ์ในการรับบำนาญตามที่กฎหมายกำหนด |
สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล | ไม่ได้รับสิทธิ | ผู้รับบำนาญสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตลอดชีวิต เช่นเดียวกับคู่สมรส บิดา และมารดา ซึ่งมีสิทธิ์จนกว่าผู้รับบำนาญจะถึงแก่กรรม ส่วนบุตรมีสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาลได้จนถึงอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ยกเว้นกรณีที่บุตรเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ จะสามารถเบิกได้ตลอดชีวิตเช่นกัน จนกว่าผู้รับบำนาญจะถึงแก่กรรม |
ค่าเล่าเรียนสำหรับบุตร | ไม่ได้รับสิทธิ | สามารถเบิกค่าเล่าเรียนบุตรได้จนถึงอายุ 25 ปีบริบูรณ์ โดยต้องศึกษาในระดับไม่ต่ำกว่าอนุปริญญา |
บำเหน็จตกทอด | ไม่ได้รับสิทธิ | ทายาทตามกฎหมาย หรือบุคคลที่ผู้รับบำนาญระบุไว้ มีสิทธิ์ได้รับเงินจำนวน 30 เท่าของบำนาญรายเดือน เมื่อผู้รับบำนาญถึงแก่กรรม |
เงินช่วยค่าจัดการศพ | ได้รับสิทธิ | ผู้รับบำนาญสามารถแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นรับเงินบำนาญแทนได้ หรือในกรณีที่ไม่ได้แสดงเจตนา ทายาทตามกฎหมาย ได้แก่ คู่สมรส บุตร และบิดามารดา (ตามลำดับ) จะมีสิทธิ์รับเงินบำนาญ พร้อมกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ถ้ามี) ตามสิทธิ์ที่กำหนดไว้ |
รับพระราชทานเพลิงศพ | ได้รับสิทธิ | เจ้าภาพหรือทายาทมีสิทธิ์ยื่นเรื่องขอพระราชทานเพลิงศพต่อกรมตามสิทธิ์ที่กำหนด |
การคำนวณว่าเงินบำนาญได้เท่าไรจะใช้สูตร
โดยมีเงื่อนไขว่ายอดบำนาญที่ได้รับต้องไม่เกิน 70% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
ช่น หากมีอายุราชการ 29 ปี 7 เดือน และเงินเดือนสุดท้าย 35,800 บาท
*หมายเหตุ สำหรับการคำนวณบำนาญ จะนับอายุราชการสูงสุดไม่เกิน 35 ปี และบำนาญที่ได้รับถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ passive income ที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับชีวิตหลังเกษียณอย่างต่อเนื่อง
หากอายุราชการไม่ถึง 10 ปี จะได้รับเฉพาะบำเหน็จเท่านั้น แต่หากมีอายุราชการตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถเลือกได้ว่าจะรับบำเหน็จหรือบำนาญ โดยทั่วไปหากเราอยู่ต่อหลังเกษียณเกิน 50 เดือน การรับบำนาญจะให้ผลตอบแทนรวมมากกว่าบำเหน็จ ยิ่งอายุยืนเงินที่ได้รับจากบำนาญยิ่งมาก
สำหรับผู้ที่เลือกรับบำนาญยังจะได้รับบำเหน็จดำรงชีพรวมไม่เกิน 500,000 บาท จ่าย 3 ครั้ง ทุก 5 ปี นอกจากนี้การมีประกันบำนาญยังเป็นเครื่องมือเสริมความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ ทำให้การรับบำนาญเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการการเงินที่มั่นคงในวัยทอง
หากเสียชีวิตก่อนรับบำนาญครบ 50 เดือน ทายาทจะได้รับเงินช่วยเหลือ 3 เท่า และบำเหน็จตกทอด 30 เท่า หักบำเหน็จดำรงชีพที่จ่ายไปแล้ว สรุปหากเสียชีวิตหลังรับบำนาญเกิน 1 ปี 5 เดือน การเลือกรับบำนาญจะคุ้มกว่าการรับบำเหน็จ เนื่องจากสามารถรับผลประโยชน์รวมมากขึ้น นอกจากนี้การมีกองทุนสํารองเลี้ยงชีพยังช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้กับผู้รับบำนาญและทายาทในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิด
บำเหน็จหมายถึงเงินตอบแทนที่ข้าราชการได้รับเมื่อออกจากราชการหรือเกษียณอายุ จ่ายเป็นก้อนใหญ่ครั้งเดียว ส่วนบำนาญคือเงินที่จ่ายเป็นรายเดือนหลังเกษียณเพื่อให้ความมั่นคงทางการเงินในวัยทอง หากอายุราชการเกิน 10 ปี สามารถเลือกรับได้ทั้งบำเหน็จหรือบำนาญ
โดยการเลือกรับบำนาญจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าหากอยู่หลังเกษียณเกิน 50 เดือน ผู้ที่เลือกรับบำนาญยังได้รับบำเหน็จดำรงชีพ ซึ่งสามารถช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงิน และยังได้รับเงินช่วยเหลือจากประกันบำนาญเพื่อเพิ่มความมั่นคงในช่วงวัยทอง
หากคุณกำลังมองหางานที่มีสิทธิประโยชน์ในเรื่องการบำเหน็จหรือบำนาญ ลองตรวจสอบตำแหน่งงานที่เหมาะสมได้ที่ Jobsdb
หลายคนอาจมีคำถามเกี่ยวกับบำเหน็จและบำนาญ เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น เราจะมาไขข้อสงสัยเหล่านี้ พร้อมทั้งอธิบายถึงสิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับหลังจากเกษียณ
บำเหน็จหมายถึงเงินตอบแทนที่จ่ายเป็นก้อนใหญ่ครั้งเดียวเมื่อข้าราชการออกจากราชการหรือเกษียณอายุ ส่วนบำนาญหมายถึงเงินที่จ่ายเป็นรายเดือนหลังเกษียณ เพื่อให้ความมั่นคงทางการเงินในวัยทอง หากอายุราชการเกิน 10 ปี สามารถเลือกได้ว่าจะรับบำเหน็จหรือบำนาญ
บำเหน็จตกทอดจะจ่ายให้ทายาทเป็นจำนวน 30 เท่าของเงินบำนาญที่ข้าราชการได้รับ หรือ 30 เท่าของเงินที่ได้รับจากบำเหน็จดำรงชีพที่จ่ายไปแล้ว เมื่อข้าราชการเสียชีวิต
เงินบำเหน็จจะคำนวณจากอายุราชการและเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย โดยสูตรคือ (อายุราชการ x เงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย) ÷ 50 โดยไม่เกิน 70% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
บำเหน็จคำนวณจากเงินเดือนสุดท้าย x จำนวนปีเวลาราชการ ÷ 50 โดยจะไม่เกิน 70% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
บำนาญปกติจะจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับตลอดชีวิต แต่ในบางกรณีอาจมีการเสียสิทธิรับบำนาญได้ เช่น การกระทำผิดกฎหมายหรือการยุติการจ่ายบำนาญตามข้อกำหนดของรัฐ