Social Media หรือสื่อสังคมกลายเป็นสื่อใหม่ สำหรับเป็นเครื่องมือธุรกิจที่นักการตลาดพูดถึงไม่ขาดปากในนาทีนี้ ทั้งการสร้าง Application ให้ชาวสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้เพลิดเพลิน การสร้างแฟนเพจใน Social Network อย่างเฟซบุ๊ก การสร้างแอคเคาท์โต้ตอบ ในทวิตเตอร์ การสร้างวิดีโอในยูทูบ และอีกหลายสารพันวิธีที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดการรับรู้ในแบรนด์โดยไม่ต้องพึ่งพาสื่อเก่าอย่างวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือสิ่งพิมพ์ และสื่ออื่น ๆ ซึ่งมีต้นทุนแพงและวัดผลคุ้มค่าได้ยากบทความนี้จะรวบรวม "ธรรมชาติ" ของ Social Media ที่ทุกธุรกิจจะต้องเจอ หากคิดจะใช้ Social Media เป็นเครื่องมือธุรกิจในการทำการตลาดด้วย
1. ธรรมชาติของการตลาดบนเครือข่ายสังคม
- ลูกค้าคิดว่า ต้องเดี๋ยวนี้-ตอนนี้ธุรกิจที่คิดจะโต้ตอบกับลูกค้าผ่านเฟซบุ๊กหรือ Social Network อื่น ควรใช้เวลาในการตอบอย่างมากที่สุดคือ 1 ชั่วโมง จุดนี้มีการสำรวจพบว่า หากไม่มีการโต้ตอบใน 24 ชั่วโมง จะกลายเป็นความรู้สึกไม่ดีในจิตใจของลูกค้า
- ลูกค้าเกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อไม่พอใจลูกค้าที่สื่อสารบน Social Network จะมีแนวโน้มรุนแรง และแสดงออกถึงความไม่พอใจมากกว่าการพบเจอพนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์ ธุรกิจที่จะจ้างคนมาดูแลการโต้ตอบบนแฟนเพจจึงต้องถามตัวเองว่า สามารถจ้างคนที่มีวุฒิภาวะพอต่อการตอบความไม่พอใจของผู้บริโภคได้หรือไม่ และควรตอบอย่างไร
- การบอกต่อที่รวดเร็วSocial Media เป็นสื่อที่คนทั่วโลกสามารถเข้ามาชมเมื่อไรก็ได้บนความถี่เท่าที่ต้องการ ดังนั้นกระแสการบอกต่อที่รวดเร็วย่อมเกิดขึ้นจากสื่อใหม่กระแสแรงนี้ แต่การบอกต่อที่รวดเร็วอาจนำไปสู่ความผิดพลาดได้สูง ขณะเดียวกันหากเรื่องราวที่บอกต่อเป็นเรื่องในแง่ลบ ก็ทำให้ธุรกิจเสียหายหลายแสนเหมือนกัน
- เกิดคำถามว่าเป็นหน้าที่ใครกระแส Social Media ของหลายบริษัทไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทีมการตลาด เช่นในบริษัทอาร์เอส ผู้บริหารและศิลปินต่างลงมือตอบแฟนเพจเอง หรือในดีแทค ที่ผู้บริหารและพนักงานที่ไม่ใช่ทีมการตลาดต่างร่วมกันส่งต่อคลิปโฆษณาชิ้นหนึ่งบนยูทูบ จนทำให้ดีแทคไม่ต้องเสียเงินซื้อสื่อแต่สามารถดึงชาวเน็ตหลายแสนคนเข้ามาดูโฆษณาของดีแทคได้
- ไม่เข้าใจจะไม่ยั่งยืนคำถามที่ทุกธุรกิจต้องพบเจอคือ "เคยใช้ Social Media" เหล่านี้หรือไม่ เพราะการใช้จริงจะทำให้เกิดความเข้าใจใน พฤติกรรมผู้บริโภค นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน
- ต้องมีไกด์ไลน์ศีลอีกข้อที่ธุรกิจควรปฏิบัติเมื่อเปิดแฟนเพจในเครือข่ายสังคมแล้ว คือการสร้างไกด์ไลน์ว่าจะตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใดเป็นหลัก เช่น หญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ จุดนี้ธุรกิจควรต้องสร้างคาแรคเตอร์ของตัวเองว่าเป็นใคร พูดภาษาอะไร ควรตอบ Content ลักษณะใด มีตารางการอัปเดตความถี่เท่าใด เหล่านี้ธุรกิจในต่างประเทศ ล้วนมีการกำหนดเป็นคัมภีร์ให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตาม ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจสามารถบริหาร Social Media ได้ดี
- ระวังจบแคมเปญปุ๊บ คนหายปั๊บการสำรวจพบว่าชาวออนไลน์ที่เข้ามาร่วมสนุกในแฟนเพจขององค์กรนั้น ราว 40% ต้องการของฟรี มีเพียง 10-20% เท่านั้นที่ต้องการข้อมูลบริษัทจริง ๆ สิ่งที่เกิดขึ้น คือเมื่อจบแคมเปญ ผู้ใช้จะหายหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหน้าที่ของธุรกิจ คือการรั้งให้ผู้ใช้ติดใจกับแฟนเพจบริษัทให้มากที่สุด ไม่ใช่การนำเสนอรางวัลอย่างเดียว
- ปริมาณแฟนมีผลต่อการรับรู้สาเหตุที่หลายบริษัทแข่งกันเหลือเกินในการรวบรวม "แฟน" หรือผู้ติดตาม ในเครือข่ายสังคม เพราะเมื่อองค์กรพูดอะไรออกไป แฟนนับแสนในแฟนเพจจะได้เห็นก่อน ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการนำไปสู่การตลาดปากต่อปาก
2. ธรรมชาติของ Application
- ค่าใช้จ่ายในการทำ Application บนไอโฟนตัวหนึ่งของภาคธุรกิจคือประมาณ 2 แสนบาท
- ป้ายโฆษณาหรือแบนเนอร์บน Application ที่มียอดการคลิกมากกว่าการลงโฆษณากับกูเกิล
- iAd คือดาวเด่นที่นักการตลาดไทยให้ความสนใจ มันคือโฆษณาบน Application ที่แอคทีฟโต้ตอบได้ มาในรูปวิดีโอหรือเกม "Application ซ้อนใน Application" นี้จะทำให้ลูกค้าใช้เวลากับโฆษณามากขึ้น อย่างไรก็ตาม iAd ซึ่งเป็นผลงานสร้างสรรค์ของแอปเปิลนั้นต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง คาดว่าค่าใช้จ่ายจะถูกลดลงในปีนี้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก รายย่อย
- หลายบริษัทเลือกพัฒนา Application บนเฟซบุ๊ก แทนการพัฒนา Application สำหรับไอโฟน เนื่องจากเฟซบุ๊กนั้นเปิดกว้าง ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์อะไร ใช้งานอะไรเพื่อนก็จะได้เห็น
- กฎ 2 ข้อของการสร้าง Application เพื่อให้เกิดการบอกต่อปากต่อปาก 1 คือต้องเข้าใจง่าย 2 คือเป็นเรื่องใกล้ตัว ดังนั้นการคิดกิจกรรมใด ๆ จึงต้องมีการศึกษาและสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภคให้ดี
3. ธรรมชาติเบ็ดเตล็ด
- นาทีนี้คำว่า Ramen Profitable กำลังมาแรง หมายถึงความสามารถในการทำกำไรได้เร็วในธุรกิจที่มีพนักงานเพียง 1-2 คนบนต้นทุนแสนต่ำ โดยนักเศรษฐศาสตร์พบว่าเทคโนโลยีไอทีในขณะนี้ทำให้เกิดความสามารถในการทำกำไรแบบนี้ได้จริง เช่น เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติงที่ทำให้ภาคธุรกิจไม่ต้องลงทุนซื้อเซิร์ฟเวอร์
- หนึ่งใน เทรนด์แรงด้านการตลาด ออนไลน์นับจากนี้ คือ Semantic Web เป็นเทคโนโลยี Web 3.0 ที่นำไปสู่การตลาดแบบ pull จุดเด่นคือการทำให้ข้อมูลสามารถสร้างการเชื่อมโยงกันเอง ระบบสามารถรับรู้ว่านี่คือข้อมูลอะไร ตัวอย่าง Metadata เหล่านี้ได้แก่ Tripit.com เว็บไซต์จองตั๋วเครื่องบินไม่ธรรมดา เพราะมีระบบที่สามารถดึงคะแนนสะสมชั่วโมงบินหรือ Miles พร้อมกับเสนอข้อมูลการแลกรางวัลกับสถานีที่ท่องเที่ยวแบบอัตโนมัติในที่ เดียว เป็นต้น
- Social Media ไม่ฟรี มีต้นทุน ธุรกิจต้องสมดุลย์กับสื่อเก่าให้ดี
- ลดการปิดคอมเมนต์เพื่อรักษาภาพลักษณ์ในองค์กร จะทำให้ธุรกิจได้รู้ความต้องการที่แท้จริงลูกค้า
- อย่ารีบ หลายบริษัทคิดว่าการตลาดบน Social Media จะสำเร็จในวันสองวัน แต่ความจริงแล้วสื่อประเภทนี้ต้องใช้เวลาในการสะสมชื่อเสียง อย่าเทียบกับสื่ออย่างวิทยุที่เปิดทีเดียวครั้งเดียวมีคนดูหลายคน
- อย่าออนไลน์หมด ให้โยนบางอย่างมาบนกิจกรรมออฟไลน์บ้าง ธุรกิจควรดึงลูกค้าออกมาเจอตัวพนักงานหรือหน้าร้านเพื่อความไว้วางใจ ทางที่ดีควรมีลูกเล่นให้เชื่อมโยงต่อกัน
- บันได 4 ขั้นในการขี่กระแสไอทีในอนาคต คือ
- ธุรกิจต้องเข้าใจก่อนว่ามันทำอะไรได้
- จากนั้นค่อยนำความสามารถนั้น ๆ มาเชื่อมต่อกับเครือข่าย
- ดึงผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ปรากฏบนอุปกรณ์
- ที่สำคัญที่สุดคือการทดลองสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสร้างความต่างในตลาด
- อย่าตามกรอบ ทฤษฏีการตลาดเป็นแค่พาหะนำคุณไปสู่จุดหมายเท่านั้น ไม่ใช่ภาระที่คุณต้องนำไปถ่วงคอตัวเองไว้
ที่มา : ASTV
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ทำการตลาดแบบออนไลน์ทั้งง่ายและได้ผล
ออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง การตลาดแห่งโลกออนไลน์