ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในทุกวันนี้มนุษย์เงินเดือนหลายคน ต้องประสบพบเจอกับเรื่องความเครียดในออฟฟิศ หรือความเครียดในการทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ถือว่าอันตรายกว่าที่คิด เพราะนอกจากความเครียดจะส่งผลที่สภาพจิตใจของเราแล้ว ในระยะยาวก็ยังจะส่งผลไปยังสุขภาพกายอีกด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้เราเลยจะมาเปิดเคล็ดลับดีๆ ในการทำงานอย่างไรไม่ให้เครียด รับรองว่านำไปปรับใช้กันได้แบบง่ายๆ แน่นอน
ก่อนจะแก้ปัญหา เราต้องมาดูถึงสาเหตุกันก่อนว่าอะไรกันนะ ที่ทำให้เราเกิดความเครียดในการทำงานได้ ซึ่งถ้าหากวิเคราะห์ได้อย่างถี่ถ้วน ก็จะสามารถขจัดความเครียดในการทำงานได้อย่างตรงจุดมากขึ้น โดยส่วนใหญ่แล้วคนที่เครียดจากการทำงาน มักเกิดจากสภาพแวดล้อมภายในออฟฟิศ การกังวลว่างานที่ทำจะออกมาไม่ดีพอ หรือวัฒนธรรมขององค์กรที่ไม่ตอบโจทย์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนก็จะเผชิญกับปัญหาที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้สาเหตุอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดความเครียดในการทำงานได้ดังนี้
- งานหนักเกินไป
- ทำงานเกินหน้าที่
- เจอหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ Toxic
- เงินเดือนไม่สอดคล้องกับปริมาณงานที่ทำ
- มีการจัดการในองค์กรที่บกพร่อง
- บรรยากาศการทำงาน เต็มไปด้วยความกดดัน
- รู้สึกความไม่มั่นคงของบริษัท
แน่นอนว่าความเครียดส่งผลโดยตรงต่อสภาพจิตใจของเราอยู่แล้ว หากสุขภาพใจไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันถ่วงที ก็เกิดจะความเครียดสะสมไปเรื่อยๆ จนในระยะยาวก็ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพกายของคนเราด้วยเช่นกัน โดยตัวอย่างของอาการทางร่างกายที่เกิดขึ้นได้จากความเครียดมีดังนี้
- ปวดหัว ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อ
- รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ
- นอนไม่หลับ
- หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน
- เกิดความวิตกกังวล หรือหดหู่ตลอดเวลา
- ไม่มีสมาธิ หรือหมดไฟในการทำงาน
- พฤติกรรมการกินผิดปกติ อาจกินมากขึ้นหรือน้อยลง
- อยากแยกตัวออกจากสังคม
ได้รู้ถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียด รวมไปถึงผลเสียในระยะยาวที่จะตามมาแล้ว คราวนี้มาดูทริคเด็ดโดนใจมนุษย์เงินเดือนกันบ้าง ว่าควรทำงานอย่างไร ไม่ให้เกิดความเครียด ซึ่งวิธีที่เราแนะนำ ขอบอกเลยว่านำไปปรับใช้ตามกันได้ทุกข้อ โดยเฉพาะใครที่กำลังเครียดกับการทำงานอยู่ ต้องรีบจัดการโดยด่วน
การเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะความเครียดเกิดขึ้นจากเรื่องของจิตใจ ดังนั้นควรเริ่มจากการปรับสภาพจิตใจของเราก่อน เพราะหากเรามีสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง ก็จะสามารถรับมือกับปัญหาหรือความเครียดในการทำงานที่เกิดขึ้นได้ โดยต้องหัดมองให้เห็นถึงความจริงว่า ในโลกนี้ไม่ใครที่ไม่เคยเจออุปสรรค ทุกคนล้วนต้องผ่านจุดนี้มาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น หากคุณมีความคิดแบบนี้ได้ ก็จะช่วยให้รับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น
ความคิดในแง่ลบก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดได้ ลองค่อยๆ ปรับตัวเองให้มองโลกในแง่บวกมากขึ้น เราไม่ได้หมายความว่าในคุณมองทุกอย่างเป็นสีพาสเทล แต่ให้ลองมองทุกอย่างด้วยเหตุและผล ค่อยๆ ปรับตัวเองไปเรื่อยๆ ปัญหาอะไรที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่านำกลับมาคิดโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเรื่องเก่าปนเรื่องใหม่ ทำให้ความเครียดพอกพูนขึ้นแบบทวีคูณ
ความเครียดในการทำงานที่หลายคนต้องเจอ คือเรื่องของปริมาณงานที่ถาโถมมาแบบไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจึงต้องอาศัยการบริหารจัดการให้ดี พยายามจดบันทึกทุกอย่างที่ต้องทำ โดยอาจทำเป็น To-Do List เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน พิจารณาว่างานไหนที่เร่งด่วน หรืองานไหนที่รอได้ ไม่จำเป็นต้องอัดทุกอย่างให้เสร็จภายในวันเดียว หรือหอบงานกลับไปทำที่บ้าน
ในระหว่างวันทำงาน ด้วยปริมาณที่เยอะอยู่แล้ว บางคนอาจต้องบรรยากาศชวนอึดอัดของออฟฟิศอีกต่างหาก ดังนั้นควรหาเวลาลุกออกจากโต๊ะทำงานหรือพักเบรกจากการทำงานเป็นช่วงสั้นๆ ดูบ้าง เช่น ลุกไปเข้าห้องน้ำ เดินไปหาเครื่องดื่มหรือของหวานทาน หรือคุยเล่นกับเพื่อน เป็นต้น
การทำอะไรได้หลายอย่าง หรือเริ่มต้นทำอะไรที่ไม่ถนัด อาจดูเป็นความท้าทายใหม่ๆ หรือได้เป็นฝึกฝนทักษะให้ตัวเองก็จริง แต่ถ้าทำแล้วมันก่อให้เกิดความเครียดมากกว่าเกิดประโยชน์แก่ตัวเอง บางครั้งก็ควรทำงานให้พอดีและตรงกับหน้าที่ของเราเท่านั้น ควรมีการพุดคุยตกลงกับหัวหน้าให้ชัดเจนว่าขอบเขตการทำงานของเรามากน้อยแค่ไหน ไม่ควรทำอะไรที่เกินหน้าที่มากจนเกินไป
การเป็นคนมีน้ำใจหรือชอบช่วยเหลือคนอื่นถือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าความช่วยเหลือนั้นกลับมาเล่นงานตัวคุณเอง ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความเครียดได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนที่จะรับปากในการช่วยเหลืองานใคร ควรพิจารณาหน้าที่หรือปริมาณงานของตัวเองให้ถี่ถ้วยเสียก่อน ว่าเราสามารถบริหารจัดการเวลาได้ตรงตามกำหนด หรืองานที่มีอยู่ล้นมือมากน้อยแค่ไหน หากมันเกินรับไหว อย่าลังเลที่จะปฏิเสธความช่วยเหลือ และไม่ต้องกลัวที่จะทำให้เพื่อนร่วมงานเสียความรู้สึก พยายามบอกเขาเหตุและผลว่าทำไมคุณถึงช่วยเหลือเขาไม่ได้ แต่ถ้าพิจารณาแล้วว่าสามารถช่วยได้ แล้วคุณรู้สึกจะเต็มใจที่จะทำจริงๆ ก็สามารถช่วยเพื่อนร่วมงานได้เช่นกัน
ก่อนจะตื่นไปทำงานในแต่ละวัน ควรมีการพักผ่อนที่เพียงพอ เพราะการนอนน้อยถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดขึ้นได้ แถมยังส่งผลในเรื่องของสมาธิในการทำงานอีกด้วย ซึ่งนั่นก็จะให้การทำงานล่าช้าหรือเสร็จไม่ตรงตามกำหนดเวลา หากใครที่รู้ตัวว่าตัวเองพักผ่อนน้อย ลองจัดตารางเวลาชีวิตตัวเองดูใหม่ เพื่อให้ตื่นไปออฟฟิศได้อย่างสดใส และทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้านอนไม่หลับจริงๆ จนทำให้พักผ่อนน้อย อาจต้องหาเวลาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดู เพราะนั่นแปลว่าความเครียดได้สะสม และเริ่มส่งผลต่อร่างกายแล้ว
ในระหว่างเวลาทำงาน นอกจากจะหาเวลาเบรกสั้นๆ ในการลุกออกจากโต๊ะทำงานแล้ว อาจลองหากิจกรรมอื่นที่ไม่ต้องลุกออกจากโต๊ะทำงานทำควบคู่ไปด้วย เช่น ลุกจากเก้าอี้แล้วยืดเส้นยืดสายอยู่ที่โต๊ะ เพื่อป้องกันอาการออฟฟิศซินโดรม หรือฟังเพลงในระหว่างทำงาน ก็สามารถช่วยคลายเครียดได้เช่นกัน
นอกจากนี้นอกเวลางาน ยังควรหาเวลาในการทำกิจกรรมคลายเครียดอื่นๆ ด้วย เช่น ออกกำลังกาย ไปทานข้าวกับเพื่อน หรือไปให้ธรรมชาติโอบกอด เป็นต้น
จริงอยู่ว่าการทำงานให้เพอร์เฟกต์ แบบเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว ถือเป็นสิ่งที่ดีและควรทำ แต่บางครั้งหากเรายึดติดกับความเป็น Perfectionist มากเกินไป แน่นอนว่าบางครั้งอาจได้ความเครียดเป็นของแถมติดกลับมาด้วย ดังนั้นควรอาจลองเปลี่ยนความคิดว่าทุกอย่างไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบเสมอไป แค่ทำงานบนพื้นฐานของความตั้งใจ ทำงานให้ออกมามีประสิทธิภาพในแบบที่เต็มความสามารถของเรา ไม่ให้มีข้อผิดพลาด เพียงแค่นี้ก็จะช่วยลดความคาดหวังและความเครียดลงได้เช่นกัน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องบรรยากาศภายในออฟฟิศก็เป็นสิ่งสำคัญ บรรยากาศต่างๆ ที่กดดันล้วนแล้วแต่เป็นชนวนเหตุแห่งความเครียดแทบทั้งสิ้น ดังนั้นลองจัดโต๊ะทำงานของตัวเองดูใหม่ หารูปหรือคำที่สร้างแรงบันดาลใจมาติดโต๊ะทำงานดู หมั่นทำความสะอาดโต๊ะ ไม่ปล่อยให้รก ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของการกำจัดความเครียดได้
ปัญหาใหญ่ระดับเอ็กซ์ตรีมของคนทำงานคือเรื่องของคนในออฟฟิศนี่แหละ บางคนบอกว่าแม้งานจะหนักแค่ไหนก็ไม่หวั่น ขอแค่มีหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานที่ดี แต่หากต้องโชคร้ายก็เจอหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ Toxic ขึ้นมา ความเครียดก็จะตามมาด้วย ซึ่งหากคุณยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนงานใหม่ สิ่งที่ควรทำก็คือการหลีกเลี่ยงที่จะมีปัญหากับมนุษย์ Toxic เหล่านั้น พยายามที่โฟกัสที่หน้าที่ของเราอย่างเดียว คุยกับคนๆ นั้นเฉพาะเวลาที่จำเป็นเท่านั้น หรือหากเจอใครที่จับกลุ่มนินทาคนอื่นอยู่ ก็ไม่ต้องไปร่วมวงสนทนาด้วย อยู่ห่างๆ ไว้เป็นดีที่สุด
การขอความช่วยเหลือในที่นี้ เราหมายถึงหากคุณต้องเจออุปสรรคในการทำงาน อย่าลังเลที่จะขอคำแนะนำหรือปรึกษากับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน ไม่ได้แปลว่าให้คุณโยนงานให้คนอื่นทำ แต่คือการขอไอเดียจากเขาในการแก้ปัญหาต่างๆ ของคุณ เพราะบางครั้งที่คนเราเครียด อาจคิดอะไรไม่ออก หากได้คำแนะนำที่ดีจากคนอื่นๆ ก็จะช่วยให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ขึ้นได้
หากมีเวลาว่างลองจดรูปแบบหรือสาเหตุที่ทำให้คุณเกิดความเครียด พร้อมทั้งเขียนถึงวิธีแก้ปัญหาลงหรือวิธีจัดการความเครียดแบบล่วงหน้าไปด้วย เผื่อวันใดที่ความเครียดนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง คุณจะได้รับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
เรื่องของวัฒนธรรมองค์กรก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดในการทำงานได้ ดังนั้นจึงควรหาบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่สอดคล้องกับตัวคุณเอง เรารู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำ เพราะบางครั้งเราก็ไม่รู้หรอกว่าบริษัทไหนที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดีจนกว่าเราจะได้เข้าไปทำงานจริง ดังนั้นจึงอาจต้องอาศัยการถามเพื่อนหรือคนรู้จักเกี่ยวกับบริษัทนั้นๆ หรืออาจลองศึกษาข้อมูลบริษัทผ่านการโปรโมตในแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook หรือ Linkedin แล้วนำมาพิจารณาดูว่าบริษัทนั้นๆ ตอบโจทย์คุณมากน้อยแค่ไหน เพราะหากเจอบริษัทที่ฟิตกับไลฟ์สไตล์การทำงานของคุณ เราเชื่อว่าคุณจะมีความเครียดในการทำงานน้อยลงแน่นอน
ความเครียดในการทำงาน บางครั้งก็เป็นส่ิงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากคุณเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันอย่างมีสติ ค่อยๆ แก้ปัญหาอย่างตรงจุด และปรับตัวเองให้เผชิญกับความเครียดเหล่านั้นได้ มันก็จะช่วยลดทอนผลกระทบต่อตัวคุณได้น้อยลง แต่ถ้าหากรับมือกับความเครียดในการทำงานไม่ไหวจริงๆ อาจต้องลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือพาตัวเองออกจากจุดนั้นให้เร็วที่สุด เพราะสุขภาพใจและสุขภาพกายถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ส่วนใครที่กำลังเครียดอยู่ แล้วกำลังมองหาที่ทำงานใหม่ JobsDB ก็พร้อมเสิร์ฟงานคุณภาพในหลากหลายอาชีพ จากบริษัทชั้นนำมากมาย หรือจะฝากโปรไฟล์ไว้กับเราก็ได้เช่นกัน ให้บริการแล้ววันนี้ทั้งในรูปแบบเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน