ความเครียดที่ส่งผลต่อสุขภาพ พร้อมวิธีลดความเครียดในชีวิตประจำวัน

ความเครียดที่ส่งผลต่อสุขภาพ พร้อมวิธีลดความเครียดในชีวิตประจำวัน
Jobsdb ทีมเนื้อหาอัปเดตเมื่อ 26 September, 2023
Share

Key Takeaway

  • ความเครียดคือภาวะที่ร่างกายและจิตใจตอบสนองต่อความกดดันหรือปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจหรือวิตกกังวล
  • ผลกระทบของความเครียด เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย และส่งผลต่อสมาธิในการทำงาน
  • ตัวอย่างการรับมือความเครียดเรื่องงาน เช่น จัดลำดับความสำคัญของงาน พักผ่อนให้เพียงพอ วางแผนการทำงานอย่างมีระบบ และขอคำปรึกษาจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าเมื่อจำเป็น

มาทำความเข้าใจให้ลึกขึ้นว่าความเครียดคืออะไร เกิดจากสาเหตุใดบ้าง และส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจอย่างไร พร้อมเรียนรู้วิธีการจัดการและลดความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสมดุลและมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ 

ความเครียดคืออะไร? สัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาในชีวิต

ความเครียดคืออะไร? สัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาในชีวิต

ความเครียดหรือภาวะเครียดคือการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายและจิตใจต่อสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ท้าทาย ซึ่งช่วยให้เราตื่นตัวและปรับตัวได้ เช่น เมื่อใกล้ถึงวันสอบ ความเครียดอาจทำให้เรารู้สึกมีสมาธิและอ่านหนังสือได้นานขึ้น อย่างไรก็ตามหากเผชิญกับความเครียดสะสมเป็นระยะเวลานานโดยไม่ผ่อนคลาย อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจในระยะยาวได้เช่นกัน

ประเภทต่างๆ ของความเครียด

ประเภทต่างๆ ของความเครียด

ความเครียดสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ตามลักษณะของปัจจัยที่กระตุ้นและระยะเวลาที่ความเครียดเกิดขึ้น โดยแต่ละประเภทมีผลต่อร่างกายและจิตใจแตกต่างกัน ดังนี้ 

Acute Stress

ความเครียดประเภทนี้คือความเครียดเฉียบพลัน ซึ่งเกิดขึ้นทันทีเมื่อเผชิญกับสิ่งกระตุ้น เช่น ความหิว อากาศที่ร้อนหรือหนาวเกินไป ความกลัว หรือสถานการณ์อันตราย ร่างกายจะตอบสนองโดยอัตโนมัติเพื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ความเครียดก็จะหายไป ร่างกายและจิตใจจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง

Episodic Acute Stress 

ความเครียดประเภทนี้คือความเครียดเฉียบพลันสะสม ซึ่งเกิดขึ้นจากเหตุการณ์เครียดหลายครั้งติดต่อกันในระยะเวลาสั้น เช่น การเจ็บป่วยที่ส่งผลให้ตกงาน การสูญเสียคนสำคัญอย่างกะทันหัน หรือเครียดเรื่องครอบครัวอย่างรุนแรง ความเครียดประเภทนี้อาจทำให้ร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้าอย่างมาก และหากไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม อาจพัฒนาเป็นความเครียดเรื้อรังในระยะยาวได้

Chronic Stress 

ความเครียดเรื้อรังคือความเครียดที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่อง และร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือระบายออกได้อย่างเหมาะสม เช่น ความเครียดจากภาระงานที่สะสม ความรู้สึกเหงา หรือปัญหาในความสัมพันธ์ภายในครอบครัว เมื่อปล่อยทิ้งไว้นาน ความเครียดประเภทนี้อาจส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพจิตและร่างกาย เช่น อ่อนเพลียเรื้อรัง นอนไม่หลับ หรือภาวะซึมเศร้าได้ในระยะยาว 

ผลกระทบของความเครียดต่อสุขภาพและเรื่องงาน

ผลกระทบของความเครียดต่อสุขภาพและเรื่องงาน 

ความเครียดไม่เพียงส่งผลต่อสภาพจิตใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพร่างกายและประสิทธิภาพในการทำงานด้วย หากปล่อยไว้นานโดยไม่จัดการอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ดังนี้

ผลกระทบต่อสุขภาพ

ความเครียดส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร สามารถเห็นได้ชัดจากอาการต่างๆ ทั้งทางร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถจัดการกับความเครียดได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและสะสมเป็นเวลานาน ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น

  • เจ็บแน่นบริเวณหน้าอก
  • หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • นอนไม่หลับหรือนอนหลับไม่สนิท
  • รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงตลอดเวลา
  • ปวดศีรษะบ่อยครั้ง
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและมีอาการเกร็งตัว
  • มีอาการกัดฟันขณะนอนหลับ
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
  • สมรรถภาพทางเพศลดลง
  • ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง
  • รู้สึกหดหู่หรือหมดกำลังใจ
  • มีความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา
  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
  • มีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า

ผลกระทบต่อการทำงาน 

ความเครียดสามารถส่งผลต่อการทำงานได้ ทั้งในด้านประสิทธิภาพและสภาพจิตใจ โดยผลกระทบที่มาจากความเครียด เช่น

  • สมาธิลดลง ทำให้โฟกัสกับงานได้ยากขึ้น
  • ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง งานออกมาไม่เต็มศักยภาพ
  • ทำงานผิดพลาดง่ายขึ้น เพราะไม่มีสติหรือใจจดจ่อ
  • ขาดแรงจูงใจ ไม่อยากทำงานหรือรู้สึกหมดไฟ
  • ขาดความมั่นใจในตัวเอง กลัวตัดสินใจผิด
  • หงุดหงิดง่าย ส่งผลต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
  • หลีกเลี่ยงการทำงานเป็นทีม หรือไม่สามารถสื่อสารได้ดี
  • ลาป่วยบ่อย หรือขาดงานเพราะปัญหาสุขภาพที่เกิดจากความเครียด
  • เกิดความขัดแย้งในที่ทำงาน เพราะควบคุมอารมณ์ไม่ได้
15 วิธีรับมือกับความเครียดจากเรื่องงาน

15 วิธีรับมือกับความเครียดจากเรื่องงาน

สำหรับวัยทำงานที่ต้องเผชิญกับความเครียดเรื่องงานและความรับผิดชอบต่างๆ การดูแลตัวเองและหาวิธีผ่อนคลายเป็นสิ่งสำคัญ วิธีต่อไปนี้สามารถช่วยลดความเครียดและฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง

1. ปรับสภาพจิตใจให้เข้มแข็ง 

การเริ่มต้นที่ดีคือการสร้างจิตใจให้เข้มแข็ง เพราะความเครียดส่วนใหญ่มีต้นตอมาจากความรู้สึกและมุมมองของเราเอง หลายครั้งเราอาจเครียดไม่รู้ตัวจึงยิ่งต้องปรับสภาพจิตใจให้พร้อมรับมือกับปัญหา ลองมองว่าอุปสรรคเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ ไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาดหรือเผชิญช่วงเวลายากลำบาก หากยอมรับความจริงข้อนี้ได้ ถึงจะจัดการกับความเครียดในการทำงานได้ดีขึ้นและมีกำลังใจเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง

2. เริ่มต้นใหม่ด้วยมุมมองที่ดีขึ้น 

ความคิดในแง่ลบเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียด การค่อยๆ ปรับมุมมองให้เป็นกลางหรือมองในแง่บวกมากขึ้นจะช่วยลดภาวะตึงเครียดในใจได้ ไม่จำเป็นต้องมองโลกให้สดใสขนาดนั้น แต่อยากให้ลองใช้เหตุผลและความเข้าใจมาช่วยในการมองปัญหา เมื่อเกิดเรื่องแล้วควรปล่อยให้ผ่านไป อย่าย้อนกลับไปคิดซ้ำ เพราะการขุดเรื่องเก่ามาผสมกับเรื่องใหม่จะยิ่งทำให้ความเครียดสะสมมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว

จัดการเวลาให้ดี

3. จัดการเวลาให้ดี 

ความเครียดจากการทำงานที่หลายคนเผชิญคือปริมาณงานที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องมีการบริหารจัดการเวลาและงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ เช่น การทำ To-Do List จะช่วยลดความสับสนและจัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น นอกจากนี้ควรแบ่งแยกว่างานไหนเร่งด่วนหรืองานไหนสามารถรอได้ ไม่จำเป็นต้องเร่งทำให้เสร็จในวันเดียวหรือเอางานกลับไปทำที่บ้าน และอย่าลืมใช้สิทธิ์ลาพักร้อนเพื่อพักผ่อนและฟื้นฟูพลังใจด้วยเช่นกัน

4. พักระหว่างงาน 

ในระหว่างวันทำงานที่มีปริมาณงานมากและบรรยากาศในออฟฟิศอาจทำให้รู้สึกอึดอัดหรือเครียดงานได้ ควรหาเวลาลุกออกจากโต๊ะหรือพักผ่อนสั้นๆ บ้าง เช่น ลุกไปเข้าห้องน้ำ เดินไปหาเครื่องดื่มหรือของหวานทานหรือพูดคุยกับเพื่อน เพื่อช่วยคลายความเครียดและเพิ่มพลังในการทำงานต่ออย่างมีประสิทธิภาพ การให้เวลาพักผ่อนเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จึงสำคัญมากต่อสุขภาพกายและใจในวันทำงาน

5. กำหนดขอบเขตงานให้ชัด 

การทำหลายอย่างพร้อมกันหรือการเริ่มทำงานที่ไม่ถนัด อาจเป็นโอกาสในการท้าทายตัวเองและฝึกทักษะใหม่ๆ แต่ถ้าทำแล้วกลับสร้างความเครียดมากกว่าประโยชน์ บางครั้งควรจำกัดงานให้อยู่ในขอบเขตหน้าที่ของเราอย่างเหมาะสม การพูดคุยและตกลงกับหัวหน้าเรื่องขอบเขตงานจึงสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดภาระงานเกินไปและช่วยลดความเครียดในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. ฝึกปฏิเสธอย่างสุภาพ 

การมีน้ำใจและช่วยเหลือผู้อื่นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าการช่วยเหลือนั้นกลับเพิ่มภาระจนกลายเป็นความเครียด ต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนรับปากช่วยงานใคร ควรเช็กหน้าที่และปริมาณงานของตัวเองว่าสามารถจัดการได้หรือไม่ หากงานล้นมือเกินกว่าจะรับไหว ไม่ควรลังเลที่จะปฏิเสธอย่างสุภาพ พร้อมอธิบายเหตุผลให้เพื่อนร่วมงานเข้าใจ แต่ถ้าพิจารณาแล้วว่าสามารถช่วยได้และเต็มใจจริงๆ ก็จะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างมีความสุข

นอนพักผ่อนให้พอทุกวัน

7. นอนพักผ่อนให้พอทุกวัน

ก่อนจะตื่นไปทำงานในแต่ละวัน ควรให้ความสำคัญกับการพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการนอนน้อยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียดและส่งผลต่อสมาธิในการทำงาน ซึ่งอาจทำให้งานล่าช้าหรือไม่เสร็จตามกำหนด หากรู้ตัวว่าพักผ่อนน้อย ควรปรับตารางชีวิตใหม่เพื่อให้ตื่นไปทำงานอย่างสดชื่นและพร้อมเต็มที่ แต่ถ้านอนไม่หลับจนพักผ่อนไม่พอ อาจต้องหาเวลาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะแสดงว่าความเครียดสะสมและเริ่มมีผลต่อร่างกายแล้ว

8. ลองทำกิจกรรมอื่นๆ

ระหว่างเวลาทำงาน นอกจากการหาเวลาพักสั้นๆ เพื่อขยับร่างกายออกจากโต๊ะทำงานแล้ว ยังสามารถทำกิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ ที่ไม่ต้องลุกจากโต๊ะได้เช่นกัน เช่น ลุกจากเก้าอี้แล้วยืดเส้นยืดสายเบาๆ เพื่อช่วยป้องกันอาการออฟฟิศซินโดรม หรือเปิดเพลงเบาๆ ฟังระหว่างทำงาน เพื่อช่วยลดความเครียดและเพิ่มสมาธิ

หลังเลิกงานก็ควรหาเวลาทำกิจกรรมคลายเครียดเพิ่มเติม เช่น การออกกำลังกาย นัดทานข้าวกับเพื่อน หรือไปเดินเล่นใกล้ชิดธรรมชาติ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนอย่างแท้จริง

9. ไม่ต้องเพอร์เฟกต์ทุกอย่าง

จริงอยู่ว่าการทำงานอย่างเป๊ะและไร้ที่ติคือสิ่งที่ดี แต่อีกด้านหนึ่ง การยึดติดกับความสมบูรณ์แบบหรือเป็น Perfectionist มากเกินไป อาจกลายเป็นต้นตอของความเครียดโดยไม่รู้ตัว ลองปรับมุมมองใหม่ว่าไม่ใช่ทุกงานจะต้องสมบูรณ์แบบ 100% เสมอไป ขอแค่เราทำงานด้วยความตั้งใจ ให้ดีที่สุดในขอบเขตของความสามารถ และพยายามลดข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุดนั้นถือว่าเพียงพอแล้ว วิธีนี้จะช่วยลดความกดดันจากความคาดหวัง และทำให้การทำงานมีความสุขมากขึ้น

ปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะกับตัวเอง

10. ปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะกับตัวเอง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศในที่ทำงาน สามารถส่งผลต่อความรู้สึกของเราได้มาก หากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เคร่งเครียดหรือกดดันตลอดเวลา อาจทำให้เกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว วิธีง่ายๆ ที่ช่วยปรับอารมณ์และลดความเครียดได้ คือการจัดโต๊ะทำงานของตัวเองให้เป็นระเบียบ ลองเพิ่มสิ่งเล็กๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจ เช่น รูปภาพคนที่รัก คำคมดีๆ หรือของตกแต่งเล็กๆ ที่ให้พลังบวก รวมถึงหมั่นทำความสะอาดโต๊ะ ไม่ปล่อยให้รก เพราะสภาพแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง และพร้อมลุยกับงานได้มากขึ้น

11. จัดการความขัดแย้งในที่ทำงาน

หนึ่งในปัญหาหนักใจระดับเอ็กซ์ตรีมของคนวัยทำงานไม่ใช่แค่งานหนักหรือเดดไลน์ถี่ แต่คือ “ปัญหากับคนในออฟฟิศ” โดยหลายคนยอมรับตรงกันว่าต่อให้งานจะเยอะแค่ไหนยังพอไหว ขอแค่ได้ทำงานกับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่ดี แต่ถ้าต้องเผชิญกับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานที่มีพฤติกรรม Toxic ความเครียดก็พร้อมพุ่งทะยานแบบไม่ทันตั้งตัวแล้ว

หากยังไม่พร้อมย้ายงาน สิ่งที่ทำได้คือหลีกเลี่ยงการปะทะกับคนเหล่านั้นให้มากที่สุด พยายามโฟกัสที่หน้าที่ของตัวเองให้ดี สื่อสารเฉพาะเรื่องงานเท่าที่จำเป็น และอย่าเข้าไปมีส่วนร่วมในวงนินทาหรือบรรยากาศลบๆ ที่จะทำให้จิตใจห่อเหี่ยว การรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณอยู่รอดในที่ทำงานได้ โดยไม่ต้องแบกความเครียดไว้คนเดียวทุกวัน

12. รู้จักขอความช่วยเหลือในที่ทำงาน

การขอความช่วยเหลือไม่ได้แปลว่าคุณโยนภาระให้คนอื่น แต่คือการเปิดใจรับคำแนะนำหรือขอไอเดียจากหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานในเวลาที่เจอปัญหา เพราะบางครั้งที่ความเครียดทำให้เราคิดไม่ออก การพูดคุยกับคนอื่นอาจช่วยให้เห็นมุมใหม่และหาทางออกได้ง่ายขึ้น

13. หาแนวทางรับมือกับความเครียด

หากมีเวลาว่าง ลองจดบันทึกถึงสาเหตุของความเครียดที่เคยเจอ พร้อมแนบวิธีรับมือหรือแนวทางแก้ไขไว้ด้วย เพื่อใช้เป็นคู่มือสำหรับตัวเองในอนาคต เวลาความเครียดแบบเดิมกลับมาอีก คุณจะสามารถรับมือได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

14. หาบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรตรงกับตัวเอง

เรื่องของวัฒนธรรมองค์กรถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความเครียดในการทำงานได้ หากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เข้ากับตัวเอง ย่อมทำให้รู้สึกอึดอัดและไม่มีความสุขในการทำงาน ดังนั้นจึงควรพิจารณาหาบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรสอดคล้องกับตัวคุณเอง แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบางครั้งเราคงไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดจนกว่าจะได้เข้าไปทำงานจริง แต่อาจอาศัยการสอบถามจากเพื่อนหรือดูรีวิวจากแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook หรือ LinkedIn เพื่อประกอบการตัดสินใจ

และหากคุณได้ลองปรับตัวแล้ว แต่ยังรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรวมไม่เอื้อต่อการทำงานหรือส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว การตัดสินใจลาออกอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่ควรพิจารณา เพราะการดูแลใจตัวเองให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ย่อมสำคัญกว่าการทนอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะกับเรา

ตั้งเป้าหมายระยะสั้น

15. ตั้งเป้าหมายระยะสั้น

ตั้งเป้าหมายระยะสั้นคือการกำหนดเป้าหมายเล็กๆ ที่สามารถทำสำเร็จได้ในเวลาอันใกล้ เช่น ภายในวันหรือสัปดาห์ เช่น “วันนี้จะเคลียร์อีเมลให้หมด” หรือ “ภายในสัปดาห์นี้จะส่งงานให้ทันกำหนด” เพื่อช่วยให้รู้สึกถึงความสำเร็จและลดความเครียดจากภาระงานที่ใหญ่เกินไป

สรุป

ความเครียดเป็นภาวะที่ส่งผลกระทบทั้งต่อร่างกายและจิตใจ หากเกิดขึ้นสะสมต่อเนื่องอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น ปวดหัว นอนไม่หลับ หรือวิตกกังวลเรื้อรัง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการทำงาน เช่น สมาธิลดลง ประสิทธิภาพแย่ลง หรือเกิดปัญหากับเพื่อนร่วมงาน 

วิธีจัดการกับความเครียดเริ่มจากการปรับมุมมองและสภาพจิตใจ วางแผนจัดการเวลาให้เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ และเรียนรู้ที่จะขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น หากสถานการณ์ไม่เอื้อ เช่น เจอสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสม อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนที่ทำงานหรือแม้แต่ “ลาออก” เพื่อรักษาสุขภาพระยะยาว และหางานใหม่ที่เหมาะสมได้ง่ายๆ ผ่านแพลตฟอร์มหางานอย่าง Jobsdb 

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 

More from this category: ความอยู่ดีมีสุขในที่ทำงาน

เรียกดูคำค้นหาที่ได้รับความนิยม

ทราบหรือไม่ว่าผู้สมัครค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไรใน Jobsdb? สำรวจคำค้นหาที่ได้รับความนิยมเพื่ออัพเดทเทรนด์ใหม่เสมอ

สมัครรับคำแนะนำด้านอาชีพ

รับคำปรึกษาด้านอาชีพจากผู้เชี่ยวชาญส่งตรงถึงอินบ็อกซ์ของคุณ
ท่านได้ยอมรับคำประกาศเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล และนโยบายความเป็นส่วนตัวเพื่อให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน หากท่านมีอายุต่ำกว่า 20 ปี ท่านได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อยินยอมให้ Jobsdb และบริษัทในเครือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านสามารถยกเลิกได้ทุกเวลา