Key Takeaway
เงินโบนัสคือรางวัลที่องค์กรจะมอบให้พนักงานในทุกๆ ปี หรือบางองค์กรอาจจะให้นอกเหนือจากนั้น ซึ่งก็แล้วแต่กรณีไป แล้วเงินโบนัสคืออะไร องค์กรจำเป็นต้องจ่ายให้พนักงานไหม และเงินโบนัสสร้างแรงจูงใจให้พนักงานยังอยู่ในองค์กรได้จริงไหม บทความนี้มีคำตอบ!
เงินโบนัส (Bonus) คือเงินค่าตอบแทนพิเศษที่ทางบริษัทหรือองค์กรมอบให้กับพนักงานนอกเหนือจากเงินเดือน เพื่อแสดงถึงความสำคัญของพนักงาน นอกจากนี้ โบนัสยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงจูงใจและ สร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน ช่วยให้พนักงานมีกำลังใจและมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น โดยโบนัสอาจเป็นส่วนหนึ่งของผลตอบแทนที่พนักงานได้รับตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น โบนัสประจำปี เป็นต้น
เงินโบนัสสามารถแยกตามวัตถุประสงค์หรือหลักเกณฑ์ได้เป็นรูปแบบต่างๆ ดังนี้
เงินโบนัสไม่ใช่สิ่งที่กฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายให้กับลูกจ้าง ดังนั้นเมื่อนายจ้างไม่จ่ายโบนัสให้กับลูกจ้างก็ไม่ได้ผิดกฎหมาย เพราะแต่ละบริษัทมีเหตุผลในการไม่จ่ายเงินโบนัส เช่น ผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หรือโปรเจกต์ต่างๆ ที่มอบหมายให้พนักงานไม่ถึงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทหรือองค์กรมีเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา นโยบายของบริษัท หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง บริษัทต้องทำตามเงื่อนไขนั้นๆ เช่น ถ้าในสัญญาจ้างงานระบุว่าพนักงานจะได้รับเงินโบนัสหากทำตามเงื่อนไขที่กำหนด
เมื่อพนักงานประสบความสำเร็จในเงื่อนไขนั้น บริษัทจะต้องจ่ายเงินโบนัสตามที่ระบุไว้ หรือบางบริษัทอาจมีนโยบายเกี่ยวกับเงินโบนัสที่ระบุเงื่อนไขไว้ บริษัทก็จะต้องปฏิบัติตามนโยบายที่ตั้งไว้ เว้นแต่กรณีที่มีข้อยกเว้นที่ระบุไว้ในนโยบายด้วย
ดังนั้น การจ่ายเงินโบนัสขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายอย่าง รวมถึงสัญญาการจ้างงานและนโยบายของบริษัท การที่เงินโบนัสจะจ่ายหรือไม่จ่ายขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องในแต่ละกรณี
แม้ว่าการจ่ายเงินโบนัสจะไม่ใช่สิ่งที่กฎหมายกำหนด แต่สำหรับพนักงานแล้ว การได้รับโบนัสเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งจูงใจและเพิ่มกำลังใจในการทำงานนั่นเอง มาดูข้อดีของการให้เงินโบนัสกับพนักงานกันได้เลย ดังนี้
การให้เงินโบนัสเป็นอีกวิธีที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่พนักงานได้ เพราะทำให้พนักงานรู้สึกว่าบริษัทให้คุณค่าและยกย่องในผลงาน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความมั่นใจและกระตุ้นให้พนักงานทุ่มเทในการทำงานมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เพื่อกระตุ้นให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีสิ่งจูงใจอย่างเงินโบนัส หากบริษัทบอกว่าจะให้โบนัสแก่พนักงานที่ทำงานได้ดี ใครๆ ก็อยากทำงานให้ดีอย่างสม่ำเสมอ เพราะยิ่งทำงานได้ดีก็ยิ่งจะได้รับโบนัสเพิ่มมากขึ้น
อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาพนักงานที่มีความสามารถเอาไว้คือการให้เงินโบนัส เพราะจะทำให้พนักงานรู้สึกว่าบริษัทก็มองเห็นคุณค่าในตัวพวกเขา ทำให้พนักงานมองเห็นว่าบริษัทต้องการรักษาเราไว้เหมือนกัน จึงทำให้เกิดความคิดที่อยากจะเติบโตไปพร้อมกับบริษัทนี้ไปนานๆ นั่นเอง
สำหรับบางคนที่กำลังเบื่องานและคิดว่าจะรอรับโบนัสแล้วค่อยตัดสินใจลาออก ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่หลายองค์กรต้องเจอ แต่ถ้าองค์กรไหนให้โบนัสสมน้ำสมเนื้อ พนักงานบางคนอาจจะตัดสินอยู่ทำงานต่อ เพราะสวัสดิการอย่างโบนัสเป็นสิ่งที่หลายคนตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือพอแค่นี้
การที่บริษัทให้โบนัสแก่พนักงานสื่อถึงค่านิยมขององค์กรที่ให้ความสำคัญกับการยกย่องและตอบแทนความมุ่งมั่นของพนักงานอย่างต่อเนื่อง พนักงานจะรู้สึกว่าบริษัทเชื่อมั่นและให้คุณค่าในตัวพวกเขา จึงช่วยเสริมสร้างความผูกพันและความเชื่อมั่นที่มีต่อบริษัท ส่งผลให้พนักงานมีความตั้งใจและจงรักภักดีต่อองค์กรมากขึ้นนั่นเอง
การคิดโบนัสให้พนักงานมีหลากหลายวิธี โดยหนึ่งในวิธีที่นิยมคือการคิดโบนัสแบบแบ่งเกรด ซึ่งเป็นการประเมินและจัดระดับผลการปฏิบัติงานของพนักงานตามเกณฑ์ที่องค์กรกำหนด โดยแต่ละองค์กรอาจมีการแบ่งระดับที่แตกต่างกัน เช่น 3 ระดับ (A-C) หรือ 5 ระดับ (A-E) ตัวอย่างเช่น บริษัทหนึ่งอาจกำหนดการจ่ายโบนัสเป็น 4 ระดับ ได้แก่
ทั้งนี้การประเมินจะพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประสิทธิภาพการทำงาน การขาดลามาสาย และความร่วมมือในการทำงาน โดยองค์กรต้องกำหนดเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจนและเป็นธรรมด้วย
สำหรับสายงานที่มีแนวโน้มจ่ายโบนัสสูงๆ 3 อันดับแรก มีดังนี้
ลูกจ้างในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ได้รับโบนัสก้อนใหญ่กว่ากลุ่มอื่น ๆ ตามมาด้วยอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เครื่องกล และเคมีภัณฑ์ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้มีการรันตีการจ่ายโบนัสพนักงานในปีนี้สูงกว่า 4 เดือน
อุตสาหกรรมยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ยังคงนำกลุ่มอื่น ๆ ในการจ่ายโบนัสที่คำนวณจากการพิจารณาตามผลงาน อุตสาหกรรมเหล่านี้รวมถึงกลุ่มการเงิน ปิโตรเคมีและเครื่องกลยังจ่ายโบนัสแบบพิจารณาตามผลงานเป็นสัดส่วนค่าจ้างสูงกว่า 4 เดือน
เมื่อได้รับเงินโบนัสจะนำไปต่อยอดอย่างไรเพื่อให้เงินงอกเงย สร้างกำไรได้ดีขึ้น มาดูเคล็ดลับการต่อยอดเงินโบนัสให้มีเพิ่มมากขึ้น ดังนี้
การฝากเงินในบัญชีเงินฝากเป็นทางเลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและช่วยสร้างวินัยในการออม โดยมีทั้งบัญชีฝากประจำทั่วไปที่ต้องฝากตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น 3, 6, 12, 24, 36 หรือ 48 เดือน เพื่อรับดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนด และบัญชีฝากประจำปลอดภาษีที่สามารถเริ่มต้นฝากได้เพียงเดือนละ 500 บาท โดยทยอยฝากเท่ากันทุกเดือนเป็นระยะเวลา 24 หรือ 36 เดือน
ข้อดีของการเก็บในบัญชีออมทรัพย์คือดอกเบี้ยที่ได้รับไม่ต้องเสียภาษี เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ ไม่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง รวมถึงกลุ่มคนวัยใกล้เกษียณที่ต้องการรักษาเงินต้นไว้ใช้ในอนาคต นอกจากนี้ยังเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะลงทุนในสินทรัพย์รูปแบบไหน สามารถนำเงินมาพักไว้ในบัญชีเงินฝากก่อนได้
อย่างไรก็ตามผู้ฝากควรระมัดระวังเรื่องระยะเวลาการฝากที่กำหนดไว้แน่นอน จึงควรวางแผนการเงินให้ดีเพราะหากถอนก่อนกำหนดจะไม่ได้รับดอกเบี้ยตามที่ธนาคารระบุไว้นั่นเอง
ทองคำเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลและมีมูลค่าในตัวเอง จึงเป็นที่นิยมในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ด้วยสภาพคล่องที่ค่อนข้างสูง ซื้อขายได้สะดวกที่ร้านทองทั่วไป
ปัจจุบันมีช่องทางการลงทุนที่หลากหลาย เช่น การออมทองคำผ่านแอปพลิเคชันหรือการลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสะสมทองคำหรือต้องการเก็บไว้เป็นมรดก การทยอยซื้อสะสมหรือใช้เป็นหลักประกัน รวมถึงสามารถทำกำไรจากส่วนต่างราคาได้หากจับจังหวะการซื้อขายที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตามแม้ราคาทองคำจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาว แต่ก็มีความผันผวนตามรอบเศรษฐกิจ ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
กองทุนรวมเหมาะสำหรับมือใหม่ที่มีเงินลงทุนน้อยและไม่มีเวลาศึกษาการลงทุนด้วยตัวเอง มีความหลากหลายของสินทรัพย์ให้เลือกตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หรือน้ำมัน โดยมีผู้จัดการกองทุนจะเป็นผู้บริหารพอร์ตแทน นอกจากนี้ยังมีกองทุนบางประเภทที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
กองทุนรวมเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุนหรือผู้ที่มีเงินลงทุนจำกัด ต้องการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ รวมถึงสินทรัพย์ที่เข้าถึงได้ยาก สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุน แนะนำให้ใช้แนวคิด Rule of 100 ของ John Bogle โดยคำนวณสัดส่วนสินทรัพย์เสี่ยงสูงจากการนำ 100 ลบด้วยอายุของผู้ลงทุน
อย่างไรก็ตามแม้จะมีผู้เชี่ยวชาญดูแลแต่การลงทุนในกองทุนรวมก็ยังมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงและวิธีการบริหารจัดการความเสี่ยงของกองทุนรวมให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนในหุ้นเป็นการซื้อส่วนแบ่งความเป็นเจ้าของในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลและกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) ช่วยให้เงินลงทุนเติบโตไปพร้อมธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อบริษัทมีผลประกอบการที่ดี นักลงทุนยังสามารถนำเงินปันผลที่ได้รับไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มมูลค่าการลงทุนแบบทบต้นได้อีกด้วย
การลงทุนในหุ้นเหมาะสำหรับผู้ที่เข้าใจการลงทุน สนใจเป็นเจ้าของธุรกิจ และรับความเสี่ยงได้สูง สำหรับมือใหม่ควรกระจายการลงทุนในหุ้นหลายตัวจากหลากหลายอุตสาหกรรมเพื่อลดความเสี่ยง หรือเลือกลงทุนแบบ Dollar Cost Average (DCA) ด้วยการทยอยลงทุนสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันทุกงวด เพื่อลดความเสี่ยงด้าน Market Timing
อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนควรตระหนักว่าการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูง อาจสูญเสียเงินต้นได้ และราคาหุ้นมีความผันผวนตามผลประกอบการของบริษัท สภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยเฉพาะของแต่ละธุรกิจที่แตกต่างกันไป
โดยปกติแล้ว พนักงานต้องทำงานในองค์กรอย่างน้อย 12 เดือน (1 ปี) ถึงจะได้รับโบนัส ซึ่งเป็นนโยบายการจ่ายโบนัสที่ค่อนข้างมาตรฐานในองค์กรต่างๆ อย่างไรก็ตามบางองค์กรอาจมีนโยบายที่แตกต่าง
เช่น จ่ายโบนัสให้แก่พนักงานที่ทำงานครบ 6 เดือน หรือจ่ายโบนัสตามผลประกอบการโดยไม่คำนึงถึงระยะเวลาการทำงาน ดังนั้นจึงควรตรวจสอบนโยบายเกี่ยวกับการจ่ายโบนัสของแต่ละองค์กรก่อน
กฎหมายแรงงานกำหนดให้พนักงานมีสิทธิลากิจขั้นต่ำ 3 วันต่อปี โดยไม่ถูกหักค่าจ้าง อย่างไรก็ตามหากพนักงานลากิจมากกว่า 3 วันต่อปี องค์กรสามารถพิจารณาหักเงินเดือน ค่าโบนัส หรือเบี้ยขยันได้ ซึ่งเป็นนโยบายที่องค์กรกำหนดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงานมาทำงานอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละองค์กรด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: ลูกจ้างควรรรู้! การลากิจคืออะไร พร้อมเงื่อนไขตามกฎหมายแรงงาน
โบนัสเป็นค่าตอบแทนพิเศษที่องค์กรจ่ายให้พนักงาน มักมาจากผลการดำเนินงานของบริษัท ในปัจจุบันโบนัสไม่ใช่แค่รางวัลพิเศษ แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการจูงใจพนักงานในมาตรฐานปกติของบางองค์กร โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ๆ แม้ว่าบริษัทจะมีผลประกอบการที่แตกต่างกันในแต่ละปี แต่องค์กรยังคงจ่ายโบนัสให้พนักงาน โดยอาจปรับจำนวนเงินตามผลการดำเนินงานในปีนั้นๆ
เงินโบนัสที่บริษัทจ่ายให้แก่พนักงานถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภท ‘เงินเดือน ค่าจ้าง และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน’ ตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งหมายความว่าเงินโบนัสเป็นเงินได้ที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ดังนั้นพนักงานที่ได้รับเงินโบนัสจะต้องนำเงินโบนัสนั้นมารวมคำนวณภาษีเงินได้พร้อมกับเงินเดือนและเงินได้อื่นๆ ที่ได้รับจากบริษัท โดยจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด.90) ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
เงินโบนัสคือค่าตอบแทนพิเศษที่องค์กรมอบให้พนักงานนอกเหนือจากเงินเดือน เพื่อแสดงถึงการให้ความสำคัญและเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงจูงใจ ขวัญกำลังใจ รวมถึงกระตุ้นให้พนักงานมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง โดยมักจะจ่ายตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น โบนัสประจำปี
การให้โบนัสช่วยสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นให้กับพนักงาน ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มความผูกพันต่อองค์กร และลดปัญหาการลาออกได้อีกด้วย
หากคุณกำลังตามหาองค์กรที่ให้โบนัสแบบจัดเต็ม มาหางานได้ที่ jobsdb เว็บไซต์ช่วยหางานที่ใช้งานง่าย จึงช่วยอำนวยความสะดวกในการหางานได้ในทุกขั้นตอน สามารถหางานได้ตามทำเลที่อยากได้ ตำแหน่งที่ชอบ เงินเดือนที่ใช่