ใครที่มีโอกาสได้อ่านหนังสือ The World is Flat ใครว่าโลกกลม คงจะทราบกันดี ว่าผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ Thomas L. Friedman ได้กล่าวถึงกำแพงที่เป็นอุปสรรค กีดขวางการแข่งขันระหว่างประเทศให้ลดต่ำลงเรื่อยๆ ก็เนื่องมาจากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่งผลให้งานด้านบริการจากประเทศฝั่งตะวันตกที่มีค่าครองชีพสูงไหลไป อยู่ที่ประเทศอินเดียที่มีค่าครองชีพต่ำกว่า
ทั้งนี้ เมื่อใคร ๆ ก็สามารถเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ตได้ เพราะไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก แถมลูกค้าก็ไม่ได้ อยู่แค่เพียงละแวกใกล้เคียงอย่างเดียว แต่มาจากทั่วทุกมุมโลก ดังนั้น จึงทำให้ใครหลายคนเข้ามาสู่ธุรกิจ อีคอมเมิร์ซกัน ถึงกระนั้น โลกการค้าปลีกที่เคยกลม และมีอุปสรรคขัดขวางการแข่งขันก็เริ่มแบนราบลง เพราะคุณไม่ได้แข่งขันในละแวกใกล้เคียงอีกต่อไปแล้ว แต่คุณกำลังแข่งขันกับคนอเมริกัน คนยุโรป คนฮ่องกง คนสิงค์โปร ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้โลกการค้าปลีกของเราแบนราบลงก็มีทั้งหมดด้วยกัน 4 ปัจจัย เริ่มแรก คือ
1. การแผ่ขยายของอาณาจักรอินเทอร์เน็ต
ความนิยมในการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วทั้งโลก ทำให้ผู้ที่มีกำลังซื้อ เมื่อมีผู้ซื้อ ก็นำมาซึ่งผู้ขาย ต้นทุน ในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ Transaction cost ของการซื้อของบนอินเทอร์เน็ต ลดต่ำลง ห่างจาก Transaction cost ของการซื้อผ่านร้านค้าปลีกไปเรื่อย ๆ
2. ระบบการชำระเงินที่เชื่อถือได้มากขึ้น
อีคอมเมิร์ซ คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าปราศจากวิธีการเก็บเงินจากผู้ซื้อมามอบให้ผู้ขาย บัตรเครดิต ธนาคารบนอินเทอร์เน็ต การชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ Pay Pal สิ่งเหล่านี้ช่วยขับเคลื่อนโลกค้าปลีกออนไลน์
3. ต้นทุนLogisticsที่ถูกลง
การบริหารระบบ Logistics ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ค่าส่งสินค้าไปให้ลูกค้ามีราคาต่ำ และสามารถแข่งขันกับต้นทุนของลูกค้าที่จะต้องออกเดินทางมาหาซื้อสินค้าเองได้
4. ช่องทางการ โฆษณาออนไลน์
สิ่งที่ร้านค้าปลีกมีภาษีเหนือกว่าอีคอมเมิร์ซก็คือ ถ้าร้านค้าปลีกตั้งอยู่ในย่านชุมชนที่ผู้คนพลุกพล่าน ก็ไม่จำเป็นต้องมี งบโฆษณาให้คนรู้จักร้านก็ได้ แต่ร้านบนอินเทอร์เน็ตนั้นต่างออกไป ลูกค้าจะไม่มีทางรู้จักร้านของคุณเลยถ้าคุณเปิดเว็บไซต์โดด ๆ โดยที่ไม่มีการโฆษณา การนำสินค้าไปขายบน eBay หรือการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฎอยู่บน Google จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโลกค้าปลีกเริ่มที่แบนราบลง แต่มันก็ยังไม่ครอบคลุมกับสินค้าทุกประเภท โดยเฉพาะสินค้าจำพวกอาหารสด เมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่ค่าส่งแพง หรืออาจแตกหักเสียหายง่าย และไม่คุ้มที่จะทำ Packaging อย่างดีก็เพียงแค่ป้องกันสินค้า ทั้งนี้ ส่วนสินค้าที่ขายดีบนอินเทอร์เน็ต คือสินค้าที่ลูกค้ารู้จักกันดีอยู่แล้ว ไม่ต้องการสัมผัสที่อินเทอร์เน็ตทำไม่ได้ เช่น หนังสือ ดีวีดี ซอฟแวร์ หรือสินค้าที่ต้องการสัมผัส ในที่นี้อาจจะหมายถึง การใช้ข้อความและรูปภาพเพื่ออธิบาย ทดแทนการสัมผัส เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ เครื่องสำอาง นาฬิกา กระเป๋า เป็นต้น
ที่มา : http://blog.macroart.net/
เรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Landing Page สำคัญต่อแคมเปญออนไลน์อย่างไร?
สาธินี โมกขะเวส ทศวรรษที่สองของการปลุกกระแสออนไลน์ จาก jobsDB.com สู่ 88DB.com